ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2017

เทศกาลกินเจ

ว่ากันด้วยเทศกาลถือศีลกินเจ ที่กำลังจะถึงนี้ บทความนี้ผมจะไม่ว่าถึงรายละเอียดเหตุผลที่มาต่างๆที่หาได้จาก ทั่วๆไปที่คงจะทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว คงไม่เอามะพร้าวห้าวมาขายสวนแน่ๆ แต่จะไปเน้นในแง่มุมที่เป็นพิธีกรรมเป็นหลักแทน ต้นตำรับดั้งเดิมของชาวจีนโพ้นทะเลจากมณฑลฮกเกี้ยน ที่มาลงหลักปักฐานอยู่ที่ จ.ตรัง และก็แตกขยายออกไป หลายๆพื้นที่ ที่รู้จักกันดีก็ภูเก็ต ปัตตานี พัทยา จนสุดท้ายก็กลายมาเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่แพร่หลายทั่วไป ในพื้นที่ลูกหลานไทยเชื้อสายจีนอยู่อาศัยในปัจจุบัน  ความจริงแล้วต้องแยกออกจากสิ้นเชิง ระหว่างถือศีลกินเจของทั่วไปและถือศีลกินผักของทางใต้ เพราะคำว่า"เจ" แปลความหมายแล้วหมายถึง "อุโบสถศีล" ความหมายก็ตรงตัวอยู่แล้ว ว่าเป็นจุดมุ่งหมายเพื่อทางศีลธรรม แต่ดั้งเดิมเป็นการบำเพ็ญพรตของนิกายเต๋าทางฝ่ายเหนือ ซึ่งจะเป็นบางช่วง ไม่ได้มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน อันนี้ตามแต่ว่าจะปฎิบัติกันช่วงไหน บางท่านก็สมาทานตลอดชีวิตก็มี จุดประสงค์ก็เพื่อสงบกาย สงบใจ ทำความดีละเว้นการฆ่าโดยตรง และก็ตามที่มีคำขวัญยอดฮิตมาในปีหลังๆ "หนึ่งชีวิตกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย" อะไร

ทำไมต้อง ๑๐๘......

เหตุแห่ง ๑๐๘ ของทางไสยเวทย์คาถาอาคม ทำไมถึงต้องเป็นสวดให้ได้ ๑๐๘ จบ เสกให้ได้ ๑๐๘ คาบ เหตุมาจากดังนี้ครับ ตามความเชื่อของทางไสยเวทย์คาถาอาคม เชื่อกันว่าจักรวาลนี้อุบัติขึ้นด้วย การแตกตัวของพลังแห่งพระเป็นเจ้า ณห้วงจักรวาล แล้วแตกออกมาเป็นธาตุ ๔ กอง อันตามที่รู้จักกันดี ไฟ ดิน ลม น้ำ ในบรรดาธาตุทั้ง ๔ ธาตุน้ำ ไปตกอยู่ที่ทิศใต้ ส่งพลังพุ่งกระแสไปทางทิศเหนือ ธาตุลม ไปตกอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่งกระแสพลังพุ่งไป ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ธาตุดิน ไปตกอยู่ทิศตะวันออก ส่งกระแสพลังพุ่งไปทางทิศตะวันตก ธาตุไฟ ไปตกอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งกระแสพลังพุ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อเกิดเป็นพลังขึ้นมาแล้วจึงได้มีเทวดา ไปทำหน้าที่เป็นผู้รักษา หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่าเทวดาผู้ครองธาตุทั้ง ๔ ธาตุละ ๒ องค์ แต่เมื่อไปรักษาครองธาตุทั้ง ๔ ที่แตกออกไป ก็กลายเป็นว่ารักษาเพียงธาตุแค่ต้นทางเท่านั้น พลังจากธาตุต้นทางจะพุ่งผ่านจักรวาลออกไป ไม่มีสิ่งใดมารองรับ เหล่าเทวดาต้องการรักษาพลังแห่งพระเป็นเจ้าไว้ ไม่ต้องการให้พลังพุ่งหายไป จึงได้ให้แยกเทวดาผู้ครองธาตุทั้ง ๔ ออกเป็น ๘ องค์ ส่งไปรับกระแสพลังที่ปล

เล่าเรื่องสายพรายตอนที่ 4

                                             ตอนนี้จะมาว่าด้วยเรื่องเหตุแห่งการมาเป็นพรายของวิญญาณ     การเวียนว่ายตายเกิด เป็นสิ่งที่เชื่อถือกันในหลายศาสนาหลายพื้นที่ของโลก ความเชื่อส่วนใหญ่ก็ไปในทางเดียวกันคือ แต่ละชีวิตเมื่อตายไปหากยังไม่หมดสิ้นกรรม ก็ต้องเวียนมาเกิดใหม่ บุญยังพอมีก็ได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์ ได้สร้างผลบุญเพิ่มเติมต่อยอดไป หรือแม้กระทั่งเป็นเทวดา ได้เสวยผลบุญที่ทำมา หากยังไม่หลุดพ้นจากกรรมเมื่อผลบุญหมดก็ต้องลงมาเกิดใหม่อีกรอบ จนกว่าจะหมดสิ้น ถือเป็นทุกขอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านเห็นถึงความทุกข์นี้จึงได้ทรงชี้หนทางหลุดพ้นที่รู้จักกันว่า "นิพพาน" เพื่อให้หมดการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องทุกข์ทน ความเชื่ออย่างหนึ่งของศาสนาพราหมณ์ คือ ทุกดวงจิตล้วนแต่ต้องกลับไปสู่พระเป็นเจ้า ก็ค่อนข้างจะมีส่วนคล้ายกัน   ตามปรกติของชีวิตคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อหมดอายุไข ก็ไปเวียนว่ายกลับมาเกิดใหม่ อันนี้ถือเป็นเรื่องปรกติ แต่ทีนี้มีบางชีวิต ที่ไม่ได้ตายตามปรกติ คือ เกิดอุบัติเหตุ ถูกฆาตกรรม ฆ่าตัวตาย ตายก่อนวัยอันควร หรือเรียกอีกอย่างว่าการตายผิดธรรมชาติ มีความ

พระสุรัสวดี เทวีแห่งพระเวทย์และความรู้

พระแม่สุรัสวดี เป็นที่ที่นับถือกันอย่างสูงในนิกายศักติ นิกายนี้ถือเอาเทวีเป็นหลักมานับถือบูชา มีความเชื่อว่าพลังอำนาจแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคืออำนาจแห่งบุรษเทพ และอำนาจแห่งสตรีเทพ เทวีสูงสุดทั้ง 3 ของนิกายศักติ จึงเป็นชายาของมหาเทพทั้ง 3 พระศิวะ พระนารายณ์และพรพรหม แต่โดยหลักจะนับพระแม่อุมา ชายาของพระศิวะเป็นหลักตามแนวทางของไศวนิกาย ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงแต่เพียง พระสุรีสวดีเพียงพระองค์เดียว พระองค์จะถูกวาดสื่ออกมาในรูปแบบ สตรีผู้มีความสุขุม เยือกเย็น มองแล้วชวนให้สงบ มากกว่ามองแล้วจะรู้สึกถึงความมีอำนาจ และความงดงามแบบพระลักษมี ตามตำนานเล่าว่า พระแม่ทรงเป็นต้นกำเนิดแห่งคัมภีร์พระเวทย์ ซึ่งมีการก่อนศาสนาพราหมณ์ที่ยึดเอาคัมภีร์พระเวทย์เป็นหลัก อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดแห่งอักษร และประดิษฐ์วีณาขึ้นมา จึงได้ถือเอาพระแม่เป็นทั้งเทวีแห่งสรรพความรู้ เวทย์มนต์คาถา ศิลปการแสดงและดนตรี ดังที่ในบ้านเราจะมีการมอบรางวัล พระสุรัสวดีแก่นักแสดงดีเด่นในแต่ละปี ในรูปที่สื่อออกแทนองค์พระแม่ มักจะอยู่ในรูปแบบเทวี 4 กร ในมือจะถือวีณา สร้อยลูกประคำ มีความหมายถึงการภาวนาและการชำระจิต คัมภีร์หรือหนังสือ

เล่าเรื่องสายพราย ตอนที่ 3

  ผู้ที่นำพรายมาใช้งานยุคแรก ปรกติจะเป็นผู้มีวิชาอาคม ส่วนใหญ่ก็เรียกหรือผูกผีสะกดไว้ด้วยอาคม หรือมักจะเป็นผีที่ออกอาละวาด หลอกหลอนผู้คนยังไม่ไปผุดไปเกิด หมอผียุคนั้นก็สะกดเอาไว้หรือบางครั้งก็นำมาใช้งาน เช่นเฝ้าบ้าน เตือนภัย ใช้ไปทำร้ายคน และก็มีทั้งเรียกผีเข้าหม้อหรือแม้แต่กระทั่งการไปขุดหัวกระโหลกจากป่าช้า บางครั้งก็เป็นวิญญาณของเจ้าของกระโหลกเองหรือบางครั้งก็เป็นการเรียกมาสถิตย์ในหัวกระโหลก เอาไว้เป็นแหล่งที่สิงสถิตย์ของวิญญาณ จุดประสงค์คือเมื่อเวลาที่พรายไม่ทำตามคำสั่งก็จะเฆี่ยนหัวกระโหลกหรือเอาไฟลน ให้พรายทรมานทนอยู่ไม่ได้ ต้องทำตามคำสั่งทุกประการ ดังนั้นช่วงแรกจำเป็นต้องเป็นคนมีอาคมระดับสูงและปฎิบัติตนอย่างหนัก เพราะถ้าเผลอขึ้นมาโดนเอาคืนถึงตาย แน่นอนว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ตายจากกรณีนี้ครับ  และยังมีอีกอย่างก็คือลูกกรอก ที่แต่เดิมจะเป็นเด็กที่ตายก่อนจะได้คลอด หรือคลอดออกมาแล้วขนาดเล็กผิดปรกติ อยู่ได้ไม่นานก็ตาย บางครั้งก็เป็นลูกของผู้มีคาถาอาคมเอง หรือบางครั้งก็มีพ่อแม่นำมาขอให้ผู้มีอาคมทำให้ ในกรณีนี้ลูกกรอกจะเชื่อฟังเฉพาะพ่อแม่ของตนเท่านั้น ไม่มีใครสามารถนำไปใช้งานได้

เล่าเรื่องสายพราย ตอนที่ 2

มาต่อจากตอนที่แล้วกันนะครับ ตอนที่ 2 นี้จะว่ากันด้วยจุดกำเนิดเครื่องรางสายพราย อันที่จริงแล้ว จุดเริ่มของการมีเครื่องรางสายพรายในปัจจุบัน ก็มาจากประเพณี-วัฒนธรรมการเลี้ยงผี การนับถือศาสนาผี มาแต่ดั้งเดิมของชาวอุษาคเนย์ การนับถือผีของชาวอุษาคเนย์ดั้งเดิม ถูกคนสมัยนี้เข้าใจคลาดเคลื่อนไปเยอะมาก เข้าใจกันไปว่าแค่นับถือคนที่ตายไปแล้วเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่อันที่จริงแล้ว คำว่าผีของชาวอุษาคเนย์นั้น ความหมายรวมไปถึง ผีฟ้า-ผีแถน อันหมายถึง พระอินทร์ และรวมไปถึงผีบรรพบุรุษทั้งหลายด้วย ใครที่เข้าใจไปว่าคนโบราณนับถือผีเป็นศาสนาต่ำ ไม่มีอารยโปรดจงทำความเข้าใจเสียใหม่ครับ ความเชื่อดั้งเดิมของชาวอุษาคเนย์เชื่อกันว่า ผู้ใหญ่ในบ้านตายกลายเป็นผีบ้าน ผู้ใหญ่ในเมืองตายกลายเป็นผีเมือง คอยดูแลรักษาบ้านเมืองและลูกหลาน ให้อยู่เย็นเป็นสุข หากลูกหลานหรือคนเมืองละเลย เกิดภัยพิบัติ หรือเกิดภัยแล้ว การเพาะปลูกไม่ดี จึงเชื่อกันว่าเพราะละเลย ผีฟ้า-ผีแถน ผีเมือง-ผีบรรพบุรุษ จึงมีประเพณีเลี้ยงผีประจำปี ในหลายๆพื้นที่ เทศกาลเช็งเม้งของลูกหลานชาวจีน ก็ถือเป็นหนึ่งในความเชื่อการเลี้ยงผีเช่นกัน ในภาคอีสานและทางภาคเหนื

เล่าเรื่องสายพราย...

เริ่มจะพอเคลียร์งานต่างๆได้แล้ว ดังนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตามสัญญานะครับ ที่เคยบอกไว้ ว่าจะเล่าเรื่องสายพรายแบบละเอียดเจาะลึก ทุกตัวอักษรจะกลั่นจากประสบการณ์จริง เล่นเองเจ็บเองรู้เอง ถ้าเป็นคนที่รู้จักผมมาตั้งแต่สมัยผมยังเป็นแค่คนเล่นเครื่องรางของขลัง เหมือนกับหลายๆท่านในเวลานี้ จะรู้ดีครับ ว่าผมเองก็อดีตเจ้ากรมสายพรายคนนึง พรายแรงๆเฮี้ยนๆผ่านมือผมมาไม่น้อย จนมาถึงช่วงเข้าสู่การเรียนวิชาอาถาอาคม ได้รู้ได้เห็นกรรมวิธีกว่าจะมาเป็นพราย เลยสังเวชใจจนสุดท้ายก็ค่อยๆวางมือด้านพรายแ ละเลิกใช้พรายจนในที่สุด โดยผมจะเขียนเป็นตอนย่อยๆหลายๆตอน ทะยอยไปเรื่อยๆ ให้อ่านกันแบบเพลินๆยาวๆ เพราะรายละเอียดเยอะ แต่รับรองว่าจะหลายๆคำถาม ที่หลายคนสงสัยและสิ่งที่หลายๆคนยังไม่รู้ จะอยู่ในนั้นแน่นอน ไม่แน่ว่าบางทีคนที่อ่านเรื่องต่อไปนี้ อาจจะอยากเลิกเล่นสายพรายไปเลยก็ได้ ก่อนอื่นผมขอแบ่งวัตถุมงคล เครื่องรางของขลังออกเป็น ๓ ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ๑.วัตถุมงคลประเภท อาศัยพลังบารมี คุณงามความดีจากตัวบุคคล เช่น เหรียญพระเกจิ เหรียญพระพุทธรูป พระผงฯ รูปเคารพต่างๆ ล็อคเก็ต ฯ อันนี้แน่นอนครับ ว่าต้นกำเนิดมาจากการอธิษฐานจิต
คนเล่นของถือวิชาหลายๆคน น่าจะคุ้นเคยกันดีกับข้อห้ามสิ่งปฎิบัติต่างๆ ที่ยึดถือต่อๆกันมา เช่นการไม่กินฟัก,น้ำเต้า ไม่ถ่มน้ำลายลงโถส้วม ไม่ลอดใต้ราวผ้าหรือผ้าถุง ไม่ลอดและไม่เดินสะพานไม้แขวนเดี่ยวหรือขาเดี่ยว บางคนก็ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด บางคนก็เก็บความสงสัยไว้ในใจว่าทำไมแต่ก็ยังคงปฎิบัติตาม ส่วนบางคนก็ถือบ้างไม่ถือบ้างหรือบางคนก็ไม่ถือเลย ก็ตามแต่เหตุผลของแต่ละที่ของแต่ละสำนักจะให้บรรดาศิษยานุศิษย์ถือคร่ำเคร่งมากน้อยเพียงใด  แต่ความจริงแล้วข้อห้ามหลายๆอย่างที่เราคุ้นเคยกันทั้งหลายนั้น ความจริงแล้วเป็นเพียงแค่การอุปมาอุปมัย ไม่ใช่ว่าให้ถือไว้เฉยๆไม่คิดไม่พิจารณาตาม เพราะแบบนั้นไม่เพียงแต่จะไม่ได้อะไรยังแค่ถือไว้หนักเป็นความลำบากให้การดำเนินชีวิตซะเปล่าๆ มาดูความหมายที่แท้จริงของข้อห้ามที่คนสักยันตืหรือคนเล่นของต่างๆถือกัน และสิ่งที่หลายๆคนสงสัยว่าถ้าเผลอไปทำของจะเสื่อมหรือไม่ 1.ห้ามกินฟัก บวบ อันนี้มีสองเหตุผล เหตุผลแรก นั่นคือ พืชเหล่านี้มีสรรพคุณล้างและข่มพวกว่านต่างๆ ที่ผสมหมึกที่ใช้สัก จึงอาจจะทำให้ล้างสรรพคุณบางอย่างให้พิธีกรรมที่ลงไปเสื่อมฤทธิ์หรือไม่สามารถออกฤทธิ์ได้เต็มทีี่

ประวัติศาสตร์ พงศาวดาร เทพนิยาย......

คิดว่าหลายๆคนคงน่าจะพอเคยได้ยินคำเปรียบเปรยประโยคนึง ประโยคนั้นมีว่า " ประวัติศาสตร์จริงเจ็ดเท็จสาม พงศาวดารจริงสามเท็จเจ็ด ส่วนถ้าเป็นเทพนิยายนั่นหมายความว่าเชื่อแทบไม่ได้เลย " ผ่านๆหูกันมาอยู่บ้าง บทความในวันนี้จะมาว่าเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหลายของเทพนิยาย ตำนานเทพองค์ต่างๆ ที่เราเชื่อกันอยู่นี่ล่ะครับ เชื่อเกี่ยวกับความเป็นมาของเทพทั้งหลายโดยหลักเราจะรับความเชื่อมาจากทางแขกฮินดู ซึ่งจากบรรดานักเทววิทยาทั้งหลายลงความเห็นให้ว่าเป็นความมั่วที่เชื่อถือแทบจะไม่ได้เลย นั่นก็เพราะว่าหลักจากที่ศาสนาพราหมณ์ได้เสื่อมความนิยมลง ช่วงการเกิดขึ้นของศาสนาพุทธในอินเดีย ก็ได้ปรับปรุงแต่งเติมจนกลับมาใหม่ในชื่อศาสนาฮินดู โดยควบรวมเหมาเอาความเชื่อของแทบจะทุกพื้นที่เข้าเอาไป เพื่อรวมรวมผู้ศรัทธาให้มีปริมาณเยอะๆ เทพทั้งหลายที่ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์แต่ดั้งเดิม ก็ถูกเหมาเอาให้กลายเป็นเทพในสังกัดฮินดูไปซะแทบทั้งหมด โดยผ่านทางเทพนิยายที่แต่งกันขึ้นมาใหม่นั่นล่ะครับ เพราะแต่ดั้งเดิมพราหมณ์นับถือกับแค่สามมหาเทพหลัก ก็ที่ทราบกันดี พระพรหม-พระผู้สร้าง พระศิวะ-พระผู้ทำลาย พระนารายณ์-พระ

พิธีไหว้ครูและครอบครู

   หนึ่งในพิธีกรรมที่คนศึกษาไสยศาสตร์และชื่นชอบเครื่องรางคาถาอาคมทั้งหลาย รู้จักและคุ้นเคยกันดี นั่นก็คือพิธีไหว้ครูหรือครอบครู แต่แรกเริ่มเดิมทีการครอบครูหรือครอบเศียรนั้นกระทำกันเพียงเฉพาะทางสายนาฏศิลป์เท่านั้น นัยว่าเพื่อให้สวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นๆได้อย่างถึงจิตวิญญาณ ในทางไสยศาสตร์และคาถาอาคมจะมีเพียงการครอบตำรา ประสิทธิ์วิชาต่างๆเท่านั้นไม่มีการครอบเศียรครูแต่อย่างใด แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงมีการนำเอาการครอบเศียรแบบทางนาฏศิลป์เข้ามาประยุกต์ จึงทำให้การครอบเศียรครูกลายเป็นหนึ่งพิธีกรรม และกลายเป็นพิธีกรรมหลักในการไหว้ครูทางไสยศาสตร์ไปโดยปริยาย   ที่มาแห่งการครอบเศียรครู มาจากคำว่าปริญ แปลว่าครอบหรือรอบ ปริญญา แปลตรงตัวความหมายก็คือ ผู้รอบรู้ในเรื่องนั้นๆ เช่นปริญญานิติศาตร์ ก็คือผู้ที่ได้รับการยอมรับว่ารอบรู้ในเรื่องนิติศาสตร์,แพทยศาสตร์,ภาษาศาสตร์ ก็ความหมายเดียวๆกัน นั่นคือได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ ให้นำวิชาความรู้ต่างๆมาใช้ในประโยชน์ในชีวิตได้ แต่ในทางไสยศาสตร์ผู้ที่จะสามารถเข้าสู่แรงครู วิชาคาถาอาคมทั้งหลาย ล้วนสำเร็จด้วยแรงครู ผู้ที่สนใจจะร่ำเรียนหรือสัมผัสกับพลังทางด

Meditate....

เอ่ยถึงการนั่งสมาธิหรือการฝึกสมาธิ หลายๆคนรู้กันดี ว่าเป็นของดีและเป็นสิ่งที่ควรฝึก แต่ปัญหาใหญ่ก็คือพยายามเท่าไหร่ก็ไม่เป็นสมาธิซะที  เพราะว่าตามความจริงแล้ว การนั่งสมาธิจนพาจิตเข้าสู่ช่วงสมาธิจริงๆ นั่นคือปิดทุกความรู้สึกทุกความเคลื่อนไหว ระดับนั้นต้องเป็นผู้ที่ฝึกสมาธิมาอย่างต่อเนื่องและเข้าใจในการวางจิตระดับนึง ดังนั้นจงอย่าแปลกใจว่าทำไมถึงได้ไม่เข้าสู่สมาธิหรือรู้สึกว่านั่งแล้วไม่ได้อะไร วันนี้ จะมาขอแนะนำวิธีฝึกสมาธิสำหรับผู้เริ่มต้น หรือวิธีการฝึกขั้นแรก เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาหรือไม่ได้ฝึกอย่างต่อเนื่อง วิธีนี้ฝรั่งเรียกกันว่า meditate คนไม่รู้เหมารวมเอาว่าคือการนั่งสมาธิ แต่จริงๆแล้วควรจะเรียกว่า " การเจริญสติ " การเจริญสติแตกต่างจากการนั่งสมาธิที่สอนๆกันแบบที่ว่าหยุดคิดเรื่องทุกสิ่ง หายใจเข้าพุธ หายใจออกโธ อันที่จริงวิธีนี้ก็ไม่เรียกว่าผิดครับ เพียงแต่มันเป็นการยากมากๆกว่าจะเข้าสู่สมาธิได้ ต้องเป็นผู้ที่มุ่งมั่นมากพอสมควรถึงจะกระทำได้ " การเจริญสติ " ไม่ได้ให้หยุดคิด แต่ให้พิจารณาถึงเรื่องราวต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งเรื่องราวในวันนี้และเรื่อง

วิธีสร้างบุญบารมี

  หากเอ่ยถึงการหมั่นสร้างบุญบารมี คาดว่าจำนวนไม่น้อย คิดไปกันว่าคือการตื่นแต่เช้าไปใส่บาตร หิ้วถังสังฆทานเข้าวัด บริจาคเงินทำการกุศลต่างๆ และมีจำนวนหลายคนคิดน้อยอก น้อยใจไปว่า ลำพังแค่เงินจะใช้จ่ายในเรื่องจำเป็นก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปทำบุญ คนจนๆอย่างเราคงไม่มีโอกาสได้ทำบุญสร้างวาสนากับคนอื่นๆเขาหรอก คงต้องทนทุกข์ต่อไปทั้งแบบนี้ล่ะ หนักกว่านั้นก็คือบางคนถึงขนาดยอมกู้หนี้ ยืมสิน เพื่อเอาเงินไปทำบุญถึงขนาดนั้นก็มี.....นั่นก็เพราะด้วยค่านิยมปัจจุบันที่ทำให้คิดกันไปแบบนั้น ในเมื่อวัดส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็นศูนย์การค้าบุญ คือสอนๆกันว่าอยากทำบุญต้องไปวัดเท่านั้น ซึ่งผิดถนัดโดยสิ้นเชิง เพราะการทำบุญสร้างบารมี สร้างกุศลนั้นมีหลายวิธี วิธีที่ว่าๆมานี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในวิธีทำบุญที่เรียกกันว่าทานมัย คือบุญจากการให้ทาน ยังมีที่นอกเหนือจากการทำทานนั่นก็คือ 1.ทานมัย (บุญที่ได้จากทารให้ทาน) อันนี้ที่กล่าวมาข้างต้น 2.สีลมัย (บุญที่ได้จากการรักษาศีล) 3.ภาวนามัย( บุญที่ได้จากการสวดมนต์ บำเพ็ญภาวนา ) 4.อปจานยมัย (บุญที่ได้จากการอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อผู้ใหญ่และผู้ที่ควรให้ความเคารพ) 5.เวยยา

วิธีการส่งพระเวทย์ พระมนต์ คนใช้ของเสน่ห์ต้องรู้เพราะไม่งั้นก็ไม่ต่างจากมีอาวุธแต่ใช้ไม่เป็น

                                         การส่งพระเวทย์ พระมนต์ ผู้ใช้เครื่องรางของขลังที่ต้องรู้ ใจจริงแล้วอยากจะเขียนบทความนี้ในอาทิตย์หน้า เพราะพึ่งจะลงบทความเรื่องสีผึ้งและน้ำมันไปเมื่อวาน แต่เนื่องจากเห็นว่ามีหลายๆท่าน ที่พึ่งจะมาติดตามของผมอาจจะไม่ทันอ่านเคล็ดวิธีนี้ ที่ผมมักจะแนะนำคนที่ใช้เครื่องรางของสำนักนี้อยู่เสมอ อธิบายให้เข้าใจกันแบบคร่าวๆ ถ้าเปรียบเอาว่าเครื่องรางของขลังทั้งหลายที่คุณมี จะทั้งแบบแขวนหรือแบบน้ำมันสีผึ้งก็ตาม ใช้กับตัวเองก็ได้ผลเรื่องการดึงดูดในระดับนึง แต่ทีนี้แน่นอนว่าคนใช้เครื่องรางเสน่ห์ ย่อมต้องมีเป้าหมายคนที่หมายปองเป็นพิเศษ บางคนพยายามเข้าคุยเข้าจีบแล้วก็ยังไม่สำเร็จ จึงได้พึ่งเครื่องรางเสน่ห์ทั้งหลาย แต่ทว่าหลายๆคนกลับไม่สมหวัง ไม่ได้ดั่งใจเพราะด้วยเนื่องจากส่งพระเวทย์ พระมนต์ไปยังคนที่หมายปองไม่เป็น จึงแทบไม่มีผลอะไร บางคนก็ถึงกับโทษว่าของที่บูชามาเสียเงินเปล่าใช้ไม่เห็นผลอะไร.........   การส่งพระเวทย์ พระมนต์ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก จนถึงมากที่สุดในการที่จะให้เกิดผลกับเป้าหมาย หากส่งพระเวทย์ พระมนต์ให้เป็นจะช่วยให้เกิดผลแบบชัดเจนมากยิ่งขึ้น แล

สีผึ้งและน้ำมัน ของเสน่ห์ที่ออกผลเร็วที่สุด

     เคยเกริ่นไว้ว่ามีเวลาเมื่อไหร่จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ อันที่จริงก็เคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้คร่าวๆไปแล้ว เมื่อตอนที่ออกให้บูชา สีผึ้งสาริกาหลวงลิ้นคำเมื่อประมาณ ตุลาคมปีที่แล้ว และด้วยเนื่องจากช่วยนี้เพิ่งจะทำสีผึ้งขุนแผนชมตลาดและเปิดโหลน้ำมันมหากาม ให้ทุกท่านที่ติดตามกันมาได้ไปใช้กัน เชื่อว่ามีหลายๆท่าน ที่มองข้ามสีผึ้งและน้ำมันไป บางคนมีไว้ก็เอาไปเก็บไว้เฉยๆ บางคนก็แค่พกพา เนื่องจากกลัวหมด บอกกันตรงนี้ว่าใช้กันอย่างเต็มที่ไม่ต้องกลัวหมด เพราะรับรองว่าของตระกูลสึผึ้งและน้ำมัน ทางผมจะทำชุดใหม่เรื่อยๆแน่นอน  ทีนี้มาว่าถึงเหตุผล ว่าทำไมผมถึงได้บอกว่า ของเสน่ห์ที่ดีที่สุดออกผลได้ไวที่สุดคือของจำพวกสีผึ้งและน้ำมัน ลองคิดกันดูถึงเรื่องที่พูดกันเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังสายเสน่ห์ทั้งหลาย ที่มักจะแนะนำกันว่าต้องพกไปในระยะเวลานึงถึงจะเกิดผล ตรงนี้คือเรื่องจริงครับ แต่เคยคิดกันมั้ยครับว่าทำไม? นั่นก็เพราะว่า เครื่องรางประเภทเนื้อผงหรือล็อดเก็ต ฯ หรืออะไรก็ตามในรูปแบบวัตถุของแข็ง สิ่งนั้นจะประจุด้วยพลังวิชาทางเสน่ห์และจะคายประจุพลังต่างๆทั้งหลายออกมา ก็ต่อเมื่อผู้ใช้แขว

ต้องธรณีสาร โทษร้ายแรงที่คนโบราณสะพึงกลัว แต่คนปัจจุบันแทบจะไม่สนใจ

เมื่อว่าถึงคำว่า ต้องธรณีสารแน่นอนว่าผู้สนใจทางไสยศาสตร์และคนเล่นเครื่องรางของขลัง ล้วนจะเคบได้ยินกันผ่านหูมาบ้าง คำนี้แม้จะเคยได้ยินกันแต่น้อยคนที่จะรู้ จะเข้าใจว่าต้องธรณีสารเป็นอย่างไร บางครั้งก็จนตัวเองต้องธรณีสารไปแล้ว แต่ยังไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็ย่ำแย่หาเวลาแก้ไขก็สายเกินไปเสียแล้ว ......อธิบายง่ายๆ การต้องธรณีสารก็คือการที่ซวยแบบไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น ซวยซ้ำซวยซ้อน ชีวิตไม่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้น ของหายอยู่เป็นประจำอันเป็นเหตุให้เสียเงินซื้อบ่อยๆ หนักกว่านั้นก็คือป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุ มีเงินเท่าไหร่ก็หมดไปกับการรักษา ชีวิตแทบจะไม่เป็นอันได้อยู่เป็นสุข เอากันแบบชัดเจนก็คือโดนคว่ำบาตรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดาทั้งหลาย ที่นอกจากจะไม่ช่วยเหลือแล้วยังซ้ำเติมให้หนักขึ้นกว่าเดิม   การต้องธรณีสาร เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นคนที่ไปทำพิธี ถือวิชา ใช้เครื่องรางของขลัง แล้วทำผิดข้อห้ามต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์ผู้ได้ลงวิชา ทำพิธีให้ท่านได้บอกไว้ เช่นถ่มน้ำลายลงโถส้วม ผิดลูกเมียคนอื่น ด่าพ่อแม่ทำร้ายบุพการี ลักทรัพย์หรือเสพยา ถ้าเป็นการผิดในเรื่องเบาๆ ส่วนมากก็แค่พิธีกรรมต่างๆที่ได้กระทำไปเสื่อมไม่เกิ

วันสิ้นโลก มหัตภัยล้างโลก ความเชื่อที่มีในทุกๆศาสนา

   หลายๆคนคงคุ้นเคยกันอย่างดี เกี่ยวกับเรื่องคำทำนายวันสิ้นโลก เอาที่ดังๆเป็นที่รู้จักไปทั่วก็ คำทำนายของ นอสตราดามุส และหลังจากนั้นก็มีฮือฮาเกี่ยวกับปี 2000 และหลังจากนั้นก็มา 2012 ซึ่งก็ทำเอาคนที่เชื่อถือในเรื่องเหล่านี้ ตื่นตระหนกตกใจและตีความกันไปต่างๆนานา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เกินขึ้นมาจริงๆ ก็ได้แต่หวังว่าคงจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้  มาว่ากันถึงเกี่ยวกับ คำสอนหรือคำทำนายในพระคัมภีร์ ของศาสนาต่างๆ ที่ในหลายๆศาสนาจะเรียกว่าบังเอิญก็คงไม่ใช่ เพราะแต่ละศาสนาก็มีบันทึกถึงเรื่องราวการกำลังจะมาถึงของเหตุการณ์วันสิ้นโลก ต่างๆกันไป เอาของทางพุทธเรา ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับยุคพระศรีอาริยเมตตรัย ซึ่งจะมาถึงหลังจากพุทธสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ในภัทรกัปป์นี้ ผ่านไปแล้วถึง 5000 ปี หลังจากนั้นจะเกิดยุคเข็ญจาก ทุกขภัยทั้ง 4 ซึ่งทุกขภัยทั้ง 4 เกิดทั้งจากธรรมชาติและด้วยน้ำมือมนุษย์กันเอง ได้แก่ 1.อัคคีภัย ทั้งนี้รวมไปถึง เพลิงโทสะ เพลิงริษยา เพลิงราคะ อันนำมาสู่ความไร้สติ 2.อุทกภัย รวมไปถึง การจมอยู่ในความทุกข์ ในบ่อน้ำตา ความเศร้าอาดูร 3.วาตภัย รวมไปถึง ภัยจากลมปากจากการนินทา ว่

ความเข้าใจผิดมหันต์เกี่ยวกับน้ำมันพราย

      เชื่อว่าหลายๆคนยังมีความเข้าใจผิดกันไม่น้อย เกี่ยวกับน้ำมันพราย เคยเขียนเกี่ยวกับเรื่อง น้ำมันพรายไปเมื่อนานมาแล้ว ระยะเวลาผ่านไปยากแก่การค้นหา จึงขอนำมาเรียบเรียงใหม่อีกครั้ง   ความเข้าใจผิดหลักเกี่ยวกับน้ำมันพราย มาจากนิยายผีเล่มล่ะ 1 บาทในสมัยก่อน ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศิลปินท่านนึง ใครๆที่ชื่นชอบเรื่องผี คงพอคุ้นเคยกับชื่อของ ครูเหม เวชกร จิตรกรและนักประพัมธ์เกี่ยวกับเรื่องผีๆ ที่เป็นที่รู้จักกันดี ของผู้ชอบเกี่ยวกับนิยายสยองขวัญทั้งหลาย ครูเหม เวชกร เขียนนิยายเกี่ยวกับ ผีแบบไทยๆ นิยายผีแบบไทย เนื้อเรื่องที่เราคุ้นเคยกันดี เช่นวิญญาณผู้ตายออกตามล้างแค้น เกี่ยวกับน้ำมันพรายก็เป็นเรื่องแนวๆ หนุ่มผู้อาภัพรัก ต้องอาศัยน้ำมันพรายไปป้าย ไปดีดใส่คนที่หมายปอง แล้วก็ได้ครอบครองสาวผู้หมายปองสมดังใจ..........ทว่า ไม่ได้มีจุดจบสวยเลยซักตอนสำหรับชายหนุ่มผู้หลงผิด ไปใช้น้ำมันพรายในการพิชิตใจสาว นั่นก็คือจุดจบสาวคนนั้น โดยวิญญาณเข้าสิงเข้าแฝง หรือเมื่อน้ำมันพรายเสื่อมฤทธิ์ สาวหมดรักเสียใจที่ต้องตกเป็นเมียคนที่ตัวเองไม่ได้รัก ก็ฆ่าตัวตาย กลายเป็นผีมาแก้แค้น ชายผู้ที่ใช้น้ำมันพรายกับต