พระแม่สุรัสวดี เป็นที่ที่นับถือกันอย่างสูงในนิกายศักติ นิกายนี้ถือเอาเทวีเป็นหลักมานับถือบูชา มีความเชื่อว่าพลังอำนาจแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคืออำนาจแห่งบุรษเทพ และอำนาจแห่งสตรีเทพ
เทวีสูงสุดทั้ง 3 ของนิกายศักติ จึงเป็นชายาของมหาเทพทั้ง 3 พระศิวะ พระนารายณ์และพรพรหม
แต่โดยหลักจะนับพระแม่อุมา ชายาของพระศิวะเป็นหลักตามแนวทางของไศวนิกาย
ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงแต่เพียง พระสุรีสวดีเพียงพระองค์เดียว พระองค์จะถูกวาดสื่ออกมาในรูปแบบ
สตรีผู้มีความสุขุม เยือกเย็น มองแล้วชวนให้สงบ มากกว่ามองแล้วจะรู้สึกถึงความมีอำนาจ และความงดงามแบบพระลักษมี ตามตำนานเล่าว่า พระแม่ทรงเป็นต้นกำเนิดแห่งคัมภีร์พระเวทย์ ซึ่งมีการก่อนศาสนาพราหมณ์ที่ยึดเอาคัมภีร์พระเวทย์เป็นหลัก อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดแห่งอักษร และประดิษฐ์วีณาขึ้นมา จึงได้ถือเอาพระแม่เป็นทั้งเทวีแห่งสรรพความรู้ เวทย์มนต์คาถา ศิลปการแสดงและดนตรี ดังที่ในบ้านเราจะมีการมอบรางวัล พระสุรัสวดีแก่นักแสดงดีเด่นในแต่ละปี
ในรูปที่สื่อออกแทนองค์พระแม่ มักจะอยู่ในรูปแบบเทวี 4 กร ในมือจะถือวีณา สร้อยลูกประคำ มีความหมายถึงการภาวนาและการชำระจิต คัมภีร์หรือหนังสือ อันหมายถึงบันทึกพระเวทย์ที่ทรงเป็นผู้แต่งและบันทึกไว้ ในบางครั้งก็จะเป็นเหล็กจาร อันเป็นเครื่องบันทึกคัมภีร์พระเวทย์เช่นกัน และในบางครั้งก็ในรูปแบบของเทวี 8 กร
ที่จะทรงอาวุธและสิ่งต่างๆในมือต่างกันไป แต่โดยหลักแล้วมักจะแพร่หลายในรูปแบบของเทวี 4 กรที่ถือวีณาเป็นหลักมากกว่า แม้โดยปรกติพระแม่จะเป็นที่รับรู้ ในรูปแบบเทวีผู้เต็มไปด้วยความสุขุม แต่เมื่อพระแม่เกิดความพิโรธขึ้นมา ไม่ว่าเทพองค์ใดหรือแม้แต่มหาเทพก็ไม่กล้าปริปาก ด้วยเกรงกลัวในอำนาจแห่งพระแม่ผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งการบวงสรวงทวยเทพและพระเวทย์ทั้งหลาย มีตำนานบันทึกเกี่ยวกับความพิโรธของพระแม่ ที่ร่ายคำสาบพระพรหม เนื่องจากพระแม่ทรงกริ้วที่พระพรหมประกอบพิธีกรรมโดยไม่รอพระองค์เสด็จมา อีกทั้งยังไปนำเอาสาวเลี้ยงโคมาแต่งงานใหม่ ให้ประทับอยู่ในตำแหน่งชายาแทนพระนางต่อหน้าเหล่าที่ประชุมเทพ ซึ่งพระนางถือว่าเป็นการหยามเกียรติพระนางอย่างหนัก จึงได้สาบพระพรหมว่า นับแต่นี้ท่านอย่าได้รับการบูชาจากผู้คน ไม่มีแม้แต่เทวาลัยเป็นของตัวเอง หากจะได้รับการบูชาก็แต่เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น อีกทั้งยังสาปพระนารายณ์เนื่องจากเป็๋นผู้หาหญิงสาวเลี้ยงโค มามอบเป็นชายาใหม่ของพระพรหม โดยสาบว่า ท่านจงได้ไปเกิดเป็นคนเลี้ยงวัว ต้องท่องเที่ยงไปในโลกมนุษย์ด้วยเถิด ทั้งยังสาปเหล่าพราหมณ์ที่ประกอบพิธีแก่พระพรหมอีกด้วยว่า ขอให้ท่านจงประกอบพิธีกรรมต่างๆโดยหวังแต่อามิสสินจ้าง มุ่งไปสู่สถานศักดิ์สิทธิ์ด้วยเจตนาโลภในทรัพย์เท่านั้นเถิด
ถือเป็นคำสาปที่ร้ายแรงอันเป็นที่มาของการเสื่อมความนิยมในการนับถือพระพรหม ในอินเดียต่อมา และเป็นสาเหตุแห่งการนารายณ์อวตารมาเป็นพระกฤษณะ และเป็นเหตุแห่งความเสื่อมความนิยมของศาสนาพราหมณ์ในอินเดีย จนได้กลับมาในศาสนาฮินดูแบบในปัจจุบัน อย่างไรก็ดีนี่เป็นแค่ตำนาน จึงไม่ควรจะมายึดถือเป็นเรื่องจริงแต่อย่างใด เพราะนี่เป็นการบันทึกของเรื่องราวในมหาภารตะ
แต่ก็เป็นข้อสังเกตุถึงอำนาจแห่งพระแม่สุรัสวดี ที่ทรงอำนาจถึงกระทั่งร่ายคำสาบมหาเทพได้ถึงสองพระองค์ โดยที่ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางหรือสามารถถอนคำสาปของพระแม่
และนอกจากนั้น พระแม่ไม่เพียงแค่ได้รับการนับถือจากเพียงแค่พื้นที่ศาสนาพราหมณ์ ยังได้รับการนับถือในนิกายมหายานจีน รวมไปถึงญี่ปุ่นในพระนาม เจ้าแม่เบนเทนหรือไดเบนไซเทน ตามที่มีท่านนึงได้เสริมข้อมูลให้ไว้ เป็นที่นับถือของเหล่าเกอิชาที่ดีดพิณเล่นดนตรีและศิลปการแสดงในการดำรงค์ชีพ แต่ในญี่ปุ่นไม่ได้นับถือพระแม่ในทางที่ดีนัก ตำนานเกี่ยวกับพระแม่จะริษยาผู้มีความรัก หากเกอิชานับถือพระแม่แล้วมีคนรักหรือได้แต่งงาน พระแม่จะดึงพลังฝีมือในการเล่นดนตรีและการแสดงคืนกลับไป ทำให้ไม่สามารถใช้หากินได้อีก แต่อันที่จริงแล้วมาพิจารณาดู เมื่อแต่งงานก็ต้องปรนณิบัติสามี คงไม่มีเวลาไปฝึกซ้อมเล่นพิณหรือละคร ก็แน่นอนว่าฝีมือย่อมตกลงไปเป็นธรรมดา อันนี้ก็ตามแต่จะว่ากันไปครับ ส่วนที่ผมทิ้งท้ายไว้เมื่อวาน ว่าทำไมคนเรียนพระเวทย์ถึงสมควรอย่างยิ่ง ที่จะเอ่ยพระนามพระแม่และบูชาพระแม่สุรัสวดี รู้จักท่านในนามพระสุนทรีวาณี มีความเชื่อจากท่านที่สามารถสัมผัสและรับถึงพลังแห่งบารมีพระแม่ได้กล่าวว่า พระแม่เป็นผู้รักษาพระไตรปิฎกและดูแลความเป็นไปของผลกรรมของผู้คน หากใครที่นับถือบอกกล่าวพระแม่ ท่านจะประทานให้การเรียนรู้ สติปัญญาและความจำเป็นเลิศ อีกทั้งพระแม่ท่านยังจะนำพาให้ของเก่าที่เคยปฎิบัติและเรียนรู้ไว้แต่เนิ่นนาน ให้กลับมาสู่ตัวผู้ร่ำเรียนได้
ทางพระเถระเจ้าทั้งในอดีต เมื่อสั่งสอนลูกศิษยที่มาร่ำเรียนพระปริยัติ ท่านจึงมักจะได้ให้ท่องคาถาบูขาพระแม่และให้ภาวนาอยู่เป็นประจำ คาถาบทนี้บันทึกอยู่ในคัมภีร์ สัททาวิเสส ซึ่งเป็นตำราเริ่มต้นของการเรียนภาษาบาลีทีมีมาแต่โบราณ และโดยพื้นฐานเวทย์มนต์คาถาอาคมต่างๆ แต่ดั้งเดิมมาจากคัมภีร์พระเวทย์ และเมื่อมาเป็นวิชาคาถาอาคมของไทย ที่โบราณจารย์ท่านได้ถอดเอาเนื้อมนต์ของพราหมณ์ออกแล้วใส่เนื้อมนต์พุทธเข้าไป ด้วยเห็นว่าเมื่อแม้แต่มนต์พราหมณ์ยังทรงอานุภาพถึงเพียงนั้น หากใส่เนื้อมนต์พุทธเข้าไปแทนจะทรงอานุภาพถึงเพียงไหน ดังนั้นแล้วต้นกำเนิดเมื่อมาจากคัมภีร์พระเวทย์ การที่จะบูชาและระลึกถึงพระมารดาต้นกำเนิดแห่งคัมภีร์พระเวทย์ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะละเลยกัน
และขอทิ้งท้ายกันด้วยคาถาบูชาพระแม่ คาถานี้เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ มีความเชื่อว่าผู้ใดภาวนาเป็นประจำ หรือหมั่นท่องก่อนจะประกอบพิธีกรรมหรือร่ายเวทย์มนต์คาถาอันใด จะได้รับพลังบารมีแห่งพระแม่ช่วยให้เข้าถึงพลังแห่งคาถาได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ความจำเป็นเลิศร่ำเรียนท่องคาถาใดๆแล้วก็ไม่ลืม
คาถามีอยู่ว่า
มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรี
ปานีนัังสะระณัง วาณีมัยหัง ปิณะยะตังมะนัง
ใครจะเอาไปให้ไม่หวง แต่ขอให้ใช้ไปในทางที่จะเกิดประโยชน์ มิเจตนานำไปใช้ในทางเสื่อมเสีย
ท่านใดที่นำไปใช้ก็ขอให้ลงชื่อให้รับรู้กันหน่อย จะได้รู้ว่ามีคนสนใจมากน้อยเพียงใด
ขอทิ้งท้ายอีกอย่าง การเรียนคาถาอาคมทางสายวิชาผม มีเคล็ดอยู่ว่าหากจะเรียนได้ไม่ลืม เรียนมนต์ให้ติด ต้องเขียนคาถาลงกระดาษ เผาไฟละลายน้ำดื่ม จะเรียนคาถาใดๆก็ตามต้องทำแบบนี้ทุกคาถา
โดยส่วนตัว ทำไปไม่น้อย แน่นอนว่ากว่าจะกลืนกินได้หมดพะอืดพะอมขมคอไปเป็นวัน บางครั้งก็หนักจนถึงขนาดท้องเสียก็บ่อยครั้ง ช่วงหลังๆนี้ ผมเลยใช้วิธีภาวนาคาถานี้เอาแทน......ก็เล่าสู่กันฟังครับ ว่าการจะเรียนคาถาใดๆ ไม่ใช่แค่ว่าท่องๆ จำๆ สวดๆ แค่ได้คาถามาแล้วก็ใช้ได้ จะเข้าถึงได้ก็ต้องเข้าให้ถึงพลังแห่งแรงครูแรงคาถาเสียก่อน มีหลายต่อหลายคนที่สนใจร่ำเรียน แต่เข้าไม่ถึงก็พาลเบื่อหน่าย ถอดใจเลิกเรียน ไปจนถึงสุดท้ายหาว่าเป็นเรื่องงมงายก็หลายคนครับ
คนทีี่เรียนไสยศาสตร์สำเร็จมีอยู่ 2 ประเภท โง่ที่สุด หรือฉลาดที่สุด จะเป็นแบบไหนเลือกเอาเอง ส่วนตัวผมเองผมเลือกเรียบร้อยแล้วครับและว่าเป็นแบบไหน
บันทึกไว้เมื่อวันที่ 25/8/2560 ที่สำนักฤษเวทย์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น