ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เล่าเรื่องสายพราย ตอนที่ 3

  ผู้ที่นำพรายมาใช้งานยุคแรก ปรกติจะเป็นผู้มีวิชาอาคม ส่วนใหญ่ก็เรียกหรือผูกผีสะกดไว้ด้วยอาคม
หรือมักจะเป็นผีที่ออกอาละวาด หลอกหลอนผู้คนยังไม่ไปผุดไปเกิด หมอผียุคนั้นก็สะกดเอาไว้หรือบางครั้งก็นำมาใช้งาน เช่นเฝ้าบ้าน เตือนภัย ใช้ไปทำร้ายคน และก็มีทั้งเรียกผีเข้าหม้อหรือแม้แต่กระทั่งการไปขุดหัวกระโหลกจากป่าช้า บางครั้งก็เป็นวิญญาณของเจ้าของกระโหลกเองหรือบางครั้งก็เป็นการเรียกมาสถิตย์ในหัวกระโหลก เอาไว้เป็นแหล่งที่สิงสถิตย์ของวิญญาณ จุดประสงค์คือเมื่อเวลาที่พรายไม่ทำตามคำสั่งก็จะเฆี่ยนหัวกระโหลกหรือเอาไฟลน ให้พรายทรมานทนอยู่ไม่ได้ ต้องทำตามคำสั่งทุกประการ ดังนั้นช่วงแรกจำเป็นต้องเป็นคนมีอาคมระดับสูงและปฎิบัติตนอย่างหนัก เพราะถ้าเผลอขึ้นมาโดนเอาคืนถึงตาย แน่นอนว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ตายจากกรณีนี้ครับ


 และยังมีอีกอย่างก็คือลูกกรอก ที่แต่เดิมจะเป็นเด็กที่ตายก่อนจะได้คลอด หรือคลอดออกมาแล้วขนาดเล็กผิดปรกติ อยู่ได้ไม่นานก็ตาย บางครั้งก็เป็นลูกของผู้มีคาถาอาคมเอง หรือบางครั้งก็มีพ่อแม่นำมาขอให้ผู้มีอาคมทำให้ ในกรณีนี้ลูกกรอกจะเชื่อฟังเฉพาะพ่อแม่ของตนเท่านั้น ไม่มีใครสามารถนำไปใช้งานได้

นี่คือยุคแรกๆของการใช้งานสายพรายแต่ดั้งเดิมครับ ต่อมาเมื่อบางครั้งหมอวิชาผู้มีอาคมผู้ใช้งานภูติพรายสมัยนั้น บางครั้งก็ไม่ได้ลงหลักปักฐานเป็นหลักแหล่ง แน่นอนว่าการจะหิ้วถือหัวกระโหลกไปมา แม้จะเป็นยุคโบราณ แต่ก็คงสร้างความแตกตื่นแก่ผู้พบเห็น ยิ่งถ้าไปต่างถิ่นก็อาจจะโดนจับตัวแขวนคอหรือเผาทั้งเป็นซะก่อน จึงได้มีการคิดวิธีเจาะเอากระโหลกส่วนหน้าผากหรือบางคติก็เอาส่วนกลางกระหม่อม มีความเชื่อว่าเป็นแหล่งพลังที่ดีที่สุด ย่อขนาดเพื่อให้สามารถพกพา หรือที่ใครบางคนเรียกกันติดปากว่าปั้นเหน่งนั่นล่ะครับ แต่อันที่จริงแล้วถือเป็นเรื่องเข้าใจผิดมานาน เพราะตามความหมายปั้นเหน่งจริงๆ จะแปลว่าหัวเข็มขัด และคนโบราณที่จะใช้ปั้นเหน่งล้วนแต่ต้องเป็นระดับมีฐานะ ถ้าไม่ระดับพระยา ก็ต้องบรรดาแม่ทัพขุนศึกโน่นเลยครับ ชาวบ้านธรรมดาสามัญไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งหลาย ไม่มีทางได้ใช้กันแน่ๆ
แต่ทีนี้แน่นอนว่า วิชาไสยศาสตร์คาถาอาคม สมัยก่อนเป็นที่ร่ำเรียนกันเฉพาะหมู่ชนชั้นสูง บางครั้งก็พวกทหาร แม่ทัพ นายกอง บางท่านก็เป็นผู้ร่ำเรียนวิชา ก็ใช้การสะกดภูติพรายนำมาใช้งานเป็นพรายกระซิบ หรือใช้ออกสมรภูมิให้ช่วยพรางตาข้าศึก จึงเป็นการประยุกต์ตัดเอากระโหลกส่วนหน้าผากมาใส่เข้ากับหัวเข็มขัดไป เลยเรียกว่าเป็นปั้นเหน่งกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ถ้าใครที่เคยๆอ่านว่าสมเด็จโตท่านเจาะกระโหลกแม่นาคมาทำปั้นเหน่ง นั่นก็คือท่านนำหน้าผากแม่นาคมาใส่ในสายรัดประคดของท่านครับ และก็มีเรื่องตำนานเล่าต่อกันมาว่า เสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรท่านก็เป็นผู้ได้ครอบครองปั้นเหน่งอันนี้และใส่ติดตัวเป็นประจำ นั่นคือท่านใส่เข็มขัดที่มีปั้นเหน่งแม่นาคประจำตัวตลอดเวลานั่นเอง ดังนั้นคำว่าปั้นเหน่งจึงกลายเป็นคำแสลง ที่คนทั่วเล่นของเครื่องรางเข้าใจกันไปว่า 
ปั้นเหน่ง=ชิ้นส่วนกระโหลกหน้าผาก เข้าใจกับไปแบบนี้จนยากจะแก้ไขไปแล้ว

และตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะว่าไปแล้วปั้นเหน่งหรือกระโหลกส่วนหน้าผาก ก็ถือเป็นที่หมายปองสูงสุด ของคนคิดอยากเล่นผีเล่นพราย เรียกได้ว่าถ้ามีกำลังทรัพย์และใจถึงมากพอ เป็นอันต้องขอลองครอบครองให้ได้กันซักครั้ง เพราะมีความเชื่อว่าผู้ที่ครอบครองปั้นเหน่ง จะได้กรรมสิทธิ์ที่จิตของพรายจะอยู่ตลอดเวลา แรงและมีพลังมากกกว่าที่แค่เพียงแค่มีผงหรือชิ้นส่วนอื่นๆ ขอและใช้งานเห็นผลไว
ได้ชัดเจน มากกว่าเครื่องรางชิ้นไหนๆ อันที่จริงก็ไม่ผิดแต่อย่างใดครับ เพียงแต่หากคุณไม่มีวิชาคาถาอาคม วิชาบังคับสะกดภูติพราย หรืออำนาจจิตแก่กล้ามากพอที่พรายจะกลัวเกรงต้องทำตามคำสั่งของคุณ ก็ไม่จากไก่ได้พลอย เพราะผมเองก็เห็นหลายต่อหลายคนที่ใจกล้าเงินถึง มีปั้นเหน่งในครอบครองแต่สุดท้าย ก็ยังคงต้องผิดหวังมานักต่อนัก.......
  ยังมีอีกกรณีนึง นั่นคือบางครั้งก็ใช้วิธีจับเป็นตัวประกัน นั่นคือใช้ชิ้นส่วนหัวกระโหลกเด็กที่ผ่าออกจากศพ คนตายท้องกลม โดยใช้วิธีกักขังและทำร้ายวิญญาณเด็ก วิญญาณของแม่ทนไม่ไหวไม่อยากให้ลูกทรมานก็ยินยอมตามมาให้ใช้งาน ในกรณีแบบนี้ก็ยังพอมีให้เห็นกันอยู่ จนมาถึงในปัจจุบันครับ
.................อ่านมาแล้วเป็นยังไงครับ ยังคงมีความรู้สึกอยากใช้งานภูติพราย หรือยังอยากได้ปั้นเหน่งกันอยู่มั้ยครับ รอบหน้าจะกล่าวถึงก่อนจะมาเป็นพราย ทำไมวิญญาณถึงยอมเป็นพราย รายละเอียดค่อนข้างเยอะจึงขอยกไปเป็นตอนหน้าครับผม มีเวลาจะมาเขียนตอนต่อไปให้อ่าน ท่านใดอ่านแล้วคิดยังไงก็แสดงความคิดเห็นหรือส่งเสียงให้รับรู้ถึงจำนวนผู้สนใจกันบ้างนะครับ เช่นเคย สนใจเยอะก็ได้อ่านไว สนใจน้อยก็ได้อ่านช้าหน่อยครับผม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิชาธรรมบรรลุ

วิชาธรรมบรรลุ การเรียนธรรมบรรลุ หนึ่งในวิชาโบราณอันลึกลับแห่งสายอีสาน ยากที่จะหาคำอธิบายที่สุดวิชานึง  หากจะกล่าวถึงต้นสายที่แท้จริงผู้เขียนเองก็จนปัญญาเนื่องจากไม่มีการบันทึกว่าเริ่มต้นแต่เมื่อใดสมัยใด แต่ปัจจุบันมีการแตกสายไปหลายทาง เช่นวิชาธรรมเก้าโกฎิ วิชาธรรมห้องพระไตร  วิชาธรรมฤาษี วิชาธรรมบรรดาล ในที่นี้จะกล่างถึงแค่สายของตัวผู้เขียน ซึ่งต้นสายใหญ่ แตกแขนงออกมาจาก  คุณพ่อใหญ่ธรรมฝั้น บ้านนาดอกไม้ และสายวิชาธรรมเก้าโกฐิ สายตักศิลานคร รายละเอียดแต่ละสายจะต่างกันในบางเรื่องเช่น เรื่องห้องเรื่องขันแต่สุดท้ายทุกๆสาย จะมีจุดมุ่งหมายไปทางเดียวกันการเข้ารับพลังของดวงแก้วดวงธรรมฝึกจิตขัดเกลาใจเช่นเดียวกัน วิชาธรรมบรรลุมีความแปลกพิศดารตรงที่แต่ล่ะคนจะได้คาถาบทเดียวกันแต่เมื่อผ่านการยัดธรรมขึ้นขันธรรมแล้ว  จะสวดภาษาต่างๆโดยที่ตัวผู้สวดเองก็ไม่รู้ตัว บางคนก็เป็นภาษากูโบส บางคนก็ภาษา เขมร พม่า จีน อินเดีย ตามแต่ที่ดวงพระธรรมท่านจะโปรด  ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่การฝึกของผู้ร่ำเรียนเอง บางคนก็ได้หลายภาษาก็อยู่ที่ผลการปฎิบัติมาแต่ตั้งเดิมมาแต่สัญญาก่อน  การเรียนธรรมบรรลุการสวดธรรมก็เหมือน

ต้องธรณีสาร โทษร้ายแรงที่คนโบราณสะพึงกลัว แต่คนปัจจุบันแทบจะไม่สนใจ

เมื่อว่าถึงคำว่า ต้องธรณีสารแน่นอนว่าผู้สนใจทางไสยศาสตร์และคนเล่นเครื่องรางของขลัง ล้วนจะเคบได้ยินกันผ่านหูมาบ้าง คำนี้แม้จะเคยได้ยินกันแต่น้อยคนที่จะรู้ จะเข้าใจว่าต้องธรณีสารเป็นอย่างไร บางครั้งก็จนตัวเองต้องธรณีสารไปแล้ว แต่ยังไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็ย่ำแย่หาเวลาแก้ไขก็สายเกินไปเสียแล้ว ......อธิบายง่ายๆ การต้องธรณีสารก็คือการที่ซวยแบบไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น ซวยซ้ำซวยซ้อน ชีวิตไม่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้น ของหายอยู่เป็นประจำอันเป็นเหตุให้เสียเงินซื้อบ่อยๆ หนักกว่านั้นก็คือป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุ มีเงินเท่าไหร่ก็หมดไปกับการรักษา ชีวิตแทบจะไม่เป็นอันได้อยู่เป็นสุข เอากันแบบชัดเจนก็คือโดนคว่ำบาตรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดาทั้งหลาย ที่นอกจากจะไม่ช่วยเหลือแล้วยังซ้ำเติมให้หนักขึ้นกว่าเดิม   การต้องธรณีสาร เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นคนที่ไปทำพิธี ถือวิชา ใช้เครื่องรางของขลัง แล้วทำผิดข้อห้ามต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์ผู้ได้ลงวิชา ทำพิธีให้ท่านได้บอกไว้ เช่นถ่มน้ำลายลงโถส้วม ผิดลูกเมียคนอื่น ด่าพ่อแม่ทำร้ายบุพการี ลักทรัพย์หรือเสพยา ถ้าเป็นการผิดในเรื่องเบาๆ ส่วนมากก็แค่พิธีกรรมต่างๆที่ได้กระทำไปเสื่อมไม่เกิ

พระสุรัสวดี เทวีแห่งพระเวทย์และความรู้

พระแม่สุรัสวดี เป็นที่ที่นับถือกันอย่างสูงในนิกายศักติ นิกายนี้ถือเอาเทวีเป็นหลักมานับถือบูชา มีความเชื่อว่าพลังอำนาจแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคืออำนาจแห่งบุรษเทพ และอำนาจแห่งสตรีเทพ เทวีสูงสุดทั้ง 3 ของนิกายศักติ จึงเป็นชายาของมหาเทพทั้ง 3 พระศิวะ พระนารายณ์และพรพรหม แต่โดยหลักจะนับพระแม่อุมา ชายาของพระศิวะเป็นหลักตามแนวทางของไศวนิกาย ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงแต่เพียง พระสุรีสวดีเพียงพระองค์เดียว พระองค์จะถูกวาดสื่ออกมาในรูปแบบ สตรีผู้มีความสุขุม เยือกเย็น มองแล้วชวนให้สงบ มากกว่ามองแล้วจะรู้สึกถึงความมีอำนาจ และความงดงามแบบพระลักษมี ตามตำนานเล่าว่า พระแม่ทรงเป็นต้นกำเนิดแห่งคัมภีร์พระเวทย์ ซึ่งมีการก่อนศาสนาพราหมณ์ที่ยึดเอาคัมภีร์พระเวทย์เป็นหลัก อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดแห่งอักษร และประดิษฐ์วีณาขึ้นมา จึงได้ถือเอาพระแม่เป็นทั้งเทวีแห่งสรรพความรู้ เวทย์มนต์คาถา ศิลปการแสดงและดนตรี ดังที่ในบ้านเราจะมีการมอบรางวัล พระสุรัสวดีแก่นักแสดงดีเด่นในแต่ละปี ในรูปที่สื่อออกแทนองค์พระแม่ มักจะอยู่ในรูปแบบเทวี 4 กร ในมือจะถือวีณา สร้อยลูกประคำ มีความหมายถึงการภาวนาและการชำระจิต คัมภีร์หรือหนังสือ