เหตุแห่ง ๑๐๘ ของทางไสยเวทย์คาถาอาคม ทำไมถึงต้องเป็นสวดให้ได้ ๑๐๘ จบ เสกให้ได้ ๑๐๘ คาบ เหตุมาจากดังนี้ครับ ตามความเชื่อของทางไสยเวทย์คาถาอาคม เชื่อกันว่าจักรวาลนี้อุบัติขึ้นด้วย การแตกตัวของพลังแห่งพระเป็นเจ้า ณห้วงจักรวาล แล้วแตกออกมาเป็นธาตุ ๔ กอง อันตามที่รู้จักกันดี ไฟ ดิน ลม น้ำ
ในบรรดาธาตุทั้ง ๔
ธาตุน้ำ ไปตกอยู่ที่ทิศใต้ ส่งพลังพุ่งกระแสไปทางทิศเหนือ
ธาตุลม ไปตกอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่งกระแสพลังพุ่งไป
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ธาตุดิน ไปตกอยู่ทิศตะวันออก ส่งกระแสพลังพุ่งไปทางทิศตะวันตก
ธาตุไฟ ไปตกอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งกระแสพลังพุ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ธาตุน้ำ ไปตกอยู่ที่ทิศใต้ ส่งพลังพุ่งกระแสไปทางทิศเหนือ
ธาตุลม ไปตกอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่งกระแสพลังพุ่งไป
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ธาตุดิน ไปตกอยู่ทิศตะวันออก ส่งกระแสพลังพุ่งไปทางทิศตะวันตก
ธาตุไฟ ไปตกอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งกระแสพลังพุ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
เมื่อเกิดเป็นพลังขึ้นมาแล้วจึงได้มีเทวดา ไปทำหน้าที่เป็นผู้รักษา หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่าเทวดาผู้ครองธาตุทั้ง ๔
ธาตุละ ๒ องค์ แต่เมื่อไปรักษาครองธาตุทั้ง ๔ ที่แตกออกไป
ก็กลายเป็นว่ารักษาเพียงธาตุแค่ต้นทางเท่านั้น พลังจากธาตุต้นทางจะพุ่งผ่านจักรวาลออกไป ไม่มีสิ่งใดมารองรับ เหล่าเทวดาต้องการรักษาพลังแห่งพระเป็นเจ้าไว้ ไม่ต้องการให้พลังพุ่งหายไป จึงได้ให้แยกเทวดาผู้ครองธาตุทั้ง ๔
ออกเป็น ๘ องค์ ส่งไปรับกระแสพลังที่ปลายทางไว้ เมื่อรับพลังสะท้อนส่งกลับไปกลับมา ก็ได้กลายมาเป็นกระแสพลังหล่อเลี้ยงโลก และมีชีวิตทั้งหลายต่อมา อันเป็นการอุบัติต่อมาของโลกนี้ ภายหลังจึงได้เรียกเทวดาทั้ง ๘ ที่รักษาทิศต่างๆต่อมาเป็น พระเคราะห์ทั้ง ๘ อันได้แก่
พระอาทิตย์ พระเสาร์ แต่ดั้งเดิมคือ ผู้รักษาธาตุไฟ
พระจันทร พระพฤหัส แต่ดั้งเดิมคือ ผู้รักษาธาตุดิน
พระอังคาร พระราหู แต่ดั้งเดิมคือ ผู้รักษาธาตุลม
พระพุธและพระศุกร์ แต่ดั้งเดิมคือ ผู้รักษาธาตุน้ำ
เรียกรวมๆว่าเทวดาอัฐเคราะห์....
แล้วเทวดานพเคราห์มาจากไหน ? องค์ที่ ๙ เรียกว่า พระเกตุหรือดาวมฤตยู แทนจักรวาลที่ว่างเปล่า คงแทนกำลัง ๐ (สูญ)
และแยกเอาเป็นกำลัง อาทิตย์ ๖ เสาร์ ๑๐ จันทร์ ๑๕
พฤหัสบดี ๑๙ อังคาร ๘ ราหู ๑๒ พุธ ๑๗ ศุกร์ ๒๑
รวมกันแล้วเป็น ๑๐๘ ซึ่งถือเอาเป็นกำลังทุกอย่างในโลกนี้
เมื่อต้องการจะทำอะไรให้เกิดพลังอย่างเต็มที่ จึงได้ถือเอาว่าให้เต็ม ๑๐๘ จึงจะทรงประสิทธิผลสมความตั้งใจ
ชักประคำ ๑๐๘ ปลุกเสก ๑๐๘ คาบ เป่ามนต์ ๑๐๘ จบ เพื่อให้ถือว่าครบกำลังทั้งหลายในโลกนี้แล้ว
นอกจากนี้ นะมะพะทะ ธาตุทั้ง ๔ ทางไสยเวทย์ไทยยังยึดโยงเอากับความเชื่อเรื่อง พระพุทธเจ้าในภัทรกัปป์นี้ทั้ง ๕ พระองค์ ๔ พระองค์บังเกิดมาแล้ว อันได้แก่
นะ คือธาตุ น้ำ แทน นะ คือพระ กกกุสันโธ
มะ คือธาตุ ดิน แทน โม คือพระโกนาคมโน
พะ คือธาตุ ไฟ แทน พุท แทนพระกัสสโป
ทะ คือธาตุ ลม แทน ธา คือพระโคตโม หรือพระโคดม
ส่วนธาตุที่ ๕ ถือเอาว่าแทนพระศรีอาริยเมตตรัย
แทนด้วย ยะ ถือว่าท่านยังไม่อุบัติขึ้น ถือเอาเป็นอากาศธาตุ
จึงมีบางคติ บางสายวิชา ที่ใช้เพียงแค่ นะโมพุทธา ก็มีเช่นกัน
ก็เป็นอันว่าสรุปด้วยประการฉะนี้ว่า ๑๐๘ จบ เป็นกำลังของธาตุทั้ง ๔ และเป็นกำลังของเทวดาอัฐเคราะห์
ธาตุละ ๒ องค์ แต่เมื่อไปรักษาครองธาตุทั้ง ๔ ที่แตกออกไป
ก็กลายเป็นว่ารักษาเพียงธาตุแค่ต้นทางเท่านั้น พลังจากธาตุต้นทางจะพุ่งผ่านจักรวาลออกไป ไม่มีสิ่งใดมารองรับ เหล่าเทวดาต้องการรักษาพลังแห่งพระเป็นเจ้าไว้ ไม่ต้องการให้พลังพุ่งหายไป จึงได้ให้แยกเทวดาผู้ครองธาตุทั้ง ๔
ออกเป็น ๘ องค์ ส่งไปรับกระแสพลังที่ปลายทางไว้ เมื่อรับพลังสะท้อนส่งกลับไปกลับมา ก็ได้กลายมาเป็นกระแสพลังหล่อเลี้ยงโลก และมีชีวิตทั้งหลายต่อมา อันเป็นการอุบัติต่อมาของโลกนี้ ภายหลังจึงได้เรียกเทวดาทั้ง ๘ ที่รักษาทิศต่างๆต่อมาเป็น พระเคราะห์ทั้ง ๘ อันได้แก่
พระอาทิตย์ พระเสาร์ แต่ดั้งเดิมคือ ผู้รักษาธาตุไฟ
พระจันทร พระพฤหัส แต่ดั้งเดิมคือ ผู้รักษาธาตุดิน
พระอังคาร พระราหู แต่ดั้งเดิมคือ ผู้รักษาธาตุลม
พระพุธและพระศุกร์ แต่ดั้งเดิมคือ ผู้รักษาธาตุน้ำ
เรียกรวมๆว่าเทวดาอัฐเคราะห์....
แล้วเทวดานพเคราห์มาจากไหน ? องค์ที่ ๙ เรียกว่า พระเกตุหรือดาวมฤตยู แทนจักรวาลที่ว่างเปล่า คงแทนกำลัง ๐ (สูญ)
และแยกเอาเป็นกำลัง อาทิตย์ ๖ เสาร์ ๑๐ จันทร์ ๑๕
พฤหัสบดี ๑๙ อังคาร ๘ ราหู ๑๒ พุธ ๑๗ ศุกร์ ๒๑
รวมกันแล้วเป็น ๑๐๘ ซึ่งถือเอาเป็นกำลังทุกอย่างในโลกนี้
เมื่อต้องการจะทำอะไรให้เกิดพลังอย่างเต็มที่ จึงได้ถือเอาว่าให้เต็ม ๑๐๘ จึงจะทรงประสิทธิผลสมความตั้งใจ
ชักประคำ ๑๐๘ ปลุกเสก ๑๐๘ คาบ เป่ามนต์ ๑๐๘ จบ เพื่อให้ถือว่าครบกำลังทั้งหลายในโลกนี้แล้ว
นอกจากนี้ นะมะพะทะ ธาตุทั้ง ๔ ทางไสยเวทย์ไทยยังยึดโยงเอากับความเชื่อเรื่อง พระพุทธเจ้าในภัทรกัปป์นี้ทั้ง ๕ พระองค์ ๔ พระองค์บังเกิดมาแล้ว อันได้แก่
นะ คือธาตุ น้ำ แทน นะ คือพระ กกกุสันโธ
มะ คือธาตุ ดิน แทน โม คือพระโกนาคมโน
พะ คือธาตุ ไฟ แทน พุท แทนพระกัสสโป
ทะ คือธาตุ ลม แทน ธา คือพระโคตโม หรือพระโคดม
ส่วนธาตุที่ ๕ ถือเอาว่าแทนพระศรีอาริยเมตตรัย
แทนด้วย ยะ ถือว่าท่านยังไม่อุบัติขึ้น ถือเอาเป็นอากาศธาตุ
จึงมีบางคติ บางสายวิชา ที่ใช้เพียงแค่ นะโมพุทธา ก็มีเช่นกัน
ก็เป็นอันว่าสรุปด้วยประการฉะนี้ว่า ๑๐๘ จบ เป็นกำลังของธาตุทั้ง ๔ และเป็นกำลังของเทวดาอัฐเคราะห์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น