ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เล่าเรื่องสายพรายตอนที่ 4

                                          
  ตอนนี้จะมาว่าด้วยเรื่องเหตุแห่งการมาเป็นพรายของวิญญาณ

    การเวียนว่ายตายเกิด เป็นสิ่งที่เชื่อถือกันในหลายศาสนาหลายพื้นที่ของโลก
ความเชื่อส่วนใหญ่ก็ไปในทางเดียวกันคือ แต่ละชีวิตเมื่อตายไปหากยังไม่หมดสิ้นกรรม ก็ต้องเวียนมาเกิดใหม่ บุญยังพอมีก็ได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์ ได้สร้างผลบุญเพิ่มเติมต่อยอดไป หรือแม้กระทั่งเป็นเทวดา
ได้เสวยผลบุญที่ทำมา หากยังไม่หลุดพ้นจากกรรมเมื่อผลบุญหมดก็ต้องลงมาเกิดใหม่อีกรอบ
จนกว่าจะหมดสิ้น ถือเป็นทุกขอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านเห็นถึงความทุกข์นี้จึงได้ทรงชี้หนทางหลุดพ้นที่รู้จักกันว่า "นิพพาน" เพื่อให้หมดการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องทุกข์ทน
ความเชื่ออย่างหนึ่งของศาสนาพราหมณ์ คือ ทุกดวงจิตล้วนแต่ต้องกลับไปสู่พระเป็นเจ้า ก็ค่อนข้างจะมีส่วนคล้ายกัน
  ตามปรกติของชีวิตคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อหมดอายุไข ก็ไปเวียนว่ายกลับมาเกิดใหม่ อันนี้ถือเป็นเรื่องปรกติ แต่ทีนี้มีบางชีวิต ที่ไม่ได้ตายตามปรกติ คือ เกิดอุบัติเหตุ ถูกฆาตกรรม ฆ่าตัวตาย ตายก่อนวัยอันควร หรือเรียกอีกอย่างว่าการตายผิดธรรมชาติ มีความเชื่อว่าวิญญาณจะยังไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่แบบล่องลอยหรือหาสถิตย์ไป รอเวลาจนกว่าจะถึงเวลาหมดสิ้นอายุไขที่แท้จริงของตนเอง เช่นคนนึง มีอายุถึงฆาตที่ 60 ปี แต่เสียชีวิตในวัยแค่ 30 ก็ต้องอยู่รอเวลาในรูปแบบดวงวิญญาณไปอีก 30 ปี ถึงจะเปลี่ยนภพภูมิหรือไปตามหนทางอื่นๆได้ ทีนี้มีความเชื่อนึงว่า วิญญาณที่จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในชีวิตต่อไป จำต้องรักษาสภาพดวงจิตในรูปแบบมนุษย์ มิฉะนั้นจะต้องกลายไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่า
  ไม่ว่าวิญญาณไหนก็คงไม่มีใครอยากไปเกิดเป็นอย่างอื่น ที่ไม่ใช่มนุษย์ ทีนี้การจะรักษาสภาพดวงจิต ในรูปแบบมนุษย์ไว้ได้ นั่นก็คือผลบุญต่างๆที่ทำไว้หรือจากการอุทิศส่วนกุศลจากผู้อื่น วิญญาณไหนที่มีญาติพี่น้องคอยอุทิศนกุศลให้ไม่ขาด หรือมีผลบุญมากมายพอจะทำให้รักษาสภาพดวงจิตไว้ได้ก็ดีไป
แต่ถ้าหากไม่มีญาติที่ไหน หรือแม้แต่ตอนมีชีวิตแทบไม่เคยทำกุศลใดๆ อันนั้นล่ะคือความทุกข์ทรมานแบบสุดๆ ดังนั้นโบราณจารย์คนร่ำเรียนคาถาจึงได้มีการไปขอหรือสะกดเอาวิญญาณเหล่านี้ล่ะครับมาเป็นภูติพราย หรือโหงพรายไว้ใช้งาน ช่วงแรกๆแน่นอนว่าเป็นการบังคับ การสะกด แต่ก็มีอยู่บ้างที่ใช้วิธี กล่อมหรือขอให้ดวงวิญญาณมาช่วยงาน โดยจะแลกเปลี่ยนกับผลบุญและเครื่องเซ่น เพื่อให้คงสภาพและยังคงมีอาหารได้ให้สัมผัส เพื่อให้คงความรู้สึกสภาพการเป็นมนุษย์เอาไว้ เพื่อรอเวลาถึงวาระจะได้ไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นหรืออย่างน้อยๆ ก็ยังคงได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสต่อยอดผลบุญต่อไป
   แน่นอนว่าในสมัยปัจจุบัน  การนำภูติพรายมาใช้งานเอาตรงๆก็เป็นไปในเชิงพานิชย์ ที่ผู้ครอบครองส่วนใหญ่ คงไม่ใช่คนมีวิชาคาถาอาคมจะไปสะกดหรือบังคับอะไรภูติพราย ดังนั้นจึงมักใช้วิธีกล่อมและขอให้พรายสมัครใจและเต็มใจมาช่วย เพื่อแลกกับผลบุญและเครื่องเซ่น ไม่ต่างจากเราๆท่านทั้งหลายนี่ล่ะครับ ที่ขายแรงงาน ขายฝีมือ ใช้หยาดเหงื่อและแรงกายมาแลกเงินซื้อข้าวกิน ดำรงค์ชีวิตไม่ให้อดตาย ดังนั้นจำไว้ว่า พรายเขาไม่ได้มารับใช้เรา เราไม่ได้มีสิทธิ์เป็นเจ้านายหรือเจ้าของเขา เราก็คือนายจ้างคนนึง จ่ายค่าจ้างและผลตอบแทนดี เขาก็อยากช่วยอยากทำให้ กลับกันใช้อย่างเดียว แต่ขี้เหนียวการทำบุญและเครื่องเซ่น ใครที่ไหนจะไปอยากทำงานให้
  ทีนี้มาจนถึงสิ่งที่หลายๆคนคาใจ ว่าทำไมถึงไม่ค่อยเห็นพราย เลี้ยงพรายแล้วอยากเห็น อยากรู้ว่าพรายยังอยู่ด้วยมั้ย อันนี้อธิบายคร่าวๆ เปรียบแล้วเหมือนการปรับจูนเพื่อรับสัญญาณวิทยุ บางทีเครื่องรับดีสัญญาณไม่ดี สัญญาณไม่ดีเครื่องรับดี หรือดีทั้งสองแล้วช่องความถี่ไม่ตรงกันก็รับสัญญาณไม่ได้
ไม่ต่างกันครับ บางครั้งใจเรายังกล้าๆกลัวๆ จิตใต้สำนึกปิดไว้เพราะความกลัว เลยทำให้สัมผัสไม่ได้
เช่นเดียวกันกับพรายหรือวิญญาณ การจะทำให้คนเห็นได้ด้วยตาเนื้อ จำเป็นต้องใช้พลังงานระดับสูงมาก พบ พลังงานไม่สูงพอก็มาในรูปแบบในหน้าเละๆ มาได้แค่ครึ่งตัว แต่หัวอย่างเดียว คนเลี้ยงเห็นเข้าเกิดกลัวสติแตก เลิกเลี้ยงเอาไปทิ้งก็ลำบากอีก เพราะรู้แบบนี้เลยไม่มาให้เห็นจะเป็นการดีซะกว่า
  สังเกตุกันมั้ยครับ ทำไมเราเห็นเทวดา หรือวิญญาณชั้นสูงในรูปแบบสง่างาม ผิวพรรณดีงดงามน่าหลงไหล แต่ทำไมวิญญาณและสัมภเวสี ถึงได้เห็นในสภาพไม่สมบูรณ์ นั่นก็เพราะกำลังของเขาทำได้แค่นั้น
ไม่ได้มีเจตนาจะหลอกหลอนแต่อย่างใด ใครที่ชอบไปลองชอบ ไปล่าท้าผี แล้วโผล่เจอวิญญาณหรือเสียงแปลก รับรู้เอาไว้ครับ ส่วนใหญ่เจาไม่ได้เจตนาหลอกหลอน แต่บางครั้งเขาก็พยายามขอความช่วยเหลือ ทีนี้คนพวกลองของเห็นว่าไปแล้วเจอ ไปกันบ่อยเข้าๆ วิญญาณพยายามขอความช่วยเหลือแล้วแต่ก็ไม่ได้อะไร สุดท้ายก็กลายสภาพเป็นพลังแค้น สาปแช่งผู้คนที่ไปลองของหรือไปรบกวน นี่ล่ะครับส้วนใหญ่ของพวกไปบ้านผีสิง แล้วหัวโกร๋นเจออาถรรพ์กลับมา
  เล่นเครื่องรางสายพราย แต่เดิมเจตนาของโบราณจารย์ เพื่อให้ผู้ครอบครองได้พึงสังวรณ์ตัวเอง ว่ามีโอกาส มีชีวิตก็จนรีบทำบุญกุศล จะได้ไม่ต้องไปเป็นพรายรอให้คนอื่นเขาอุทิศส่วนกุศลให้ หลักๆแล้วควรจะเล่นกันแบบนี้ การขอการให้พรายช่วยควรจะเป็นแค่ผลพลอยได้ ยิ่งสมัยนี้ที่เอะอะๆ อะไรก็ต้องพรายๆๆๆ คิดแต่จะอยากเล่นของอาถรรพ์สัมผัสตัวตนของสิ่งลี้ลับกันแบบคึกคะนองเกินเหตุ
  สมัยก่อน ก่อนจะไปพลีวิญญาณมาเป็นภูติพราย มักจะมีการสืบประวัติพรายเสียก่อน เช่นคนนี้เมื่อสมัยมีชีวิต เจ้าชู้ เสน่ห์แรงมีเมียเยอะ ก็ค่อยไปนำมาเป็นพรายประจำเครื่องรางเสน่ห์ คนไหนชอบเล่นการพนันก็ค่อยไปขอให้ช่วยทางด้านการพนัน พรายก็ไม่ต่างจากคนครับตอนมีชีวิตเก่งเรื่องไหน ตายไปจิตใจก็ไปใฝ่แต่ทางด้านนั้น จึงเคยมีขุนแผนรุ่นนึงที่พรายในนั้นเป็นคนชอบเล่นการพนัน ระดับผีพนันโดนยิงตายกลางวงไฮโล พอเอามาทำพรายคนที่ครอบครองปรากฎว่าเป็นคนไม่เล่นการพนัน ก็โดนพรายหลอกหลอนไปซะ จนกลัวต้องเอามาคืนคนสร้าง มีอีกคนเอาไปก็ปรากฎว่าโดนพรายแฝง กลายเป็นคนติดการพนันหมดเนื้อหมดตัว ต้องมาร้องห่มร้องไห้แก้พรายแฝงซึ่งเวลานั้นชีวิตก็ไม่เหลืออะไรแล้ว
   เดี๋ยวนี้น้อยที่จะใส่ใจเรื่องประวัติและที่มาของพราย ขอให้เป็นพรายเอากระดูกเขามาทำขอให้ตายตามตำรับก็พอ พรายตายเสาร์เผาอังคาร ปรากฎว่าพรายที่เอามาเป็นคนแก่อายุ 60 กว่าปีที่ประสบอุบัติเหตุตาย  แบบนี้แล้วคิดว่าจะไปแรงจะไปช่วยอะไรได้มั้ยล่ะครับ
  บ่นมายืดยาว เพราะถือเอาว่ารวบยอดจากที่ไม่ได้เขียนต่อมานาน ใครลืมตอนเก่าๆว่าถึงไหนก็อ่านตอนเก่าๆได้ blog ครับผม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิชาธรรมบรรลุ

วิชาธรรมบรรลุ การเรียนธรรมบรรลุ หนึ่งในวิชาโบราณอันลึกลับแห่งสายอีสาน ยากที่จะหาคำอธิบายที่สุดวิชานึง  หากจะกล่าวถึงต้นสายที่แท้จริงผู้เขียนเองก็จนปัญญาเนื่องจากไม่มีการบันทึกว่าเริ่มต้นแต่เมื่อใดสมัยใด แต่ปัจจุบันมีการแตกสายไปหลายทาง เช่นวิชาธรรมเก้าโกฎิ วิชาธรรมห้องพระไตร  วิชาธรรมฤาษี วิชาธรรมบรรดาล ในที่นี้จะกล่างถึงแค่สายของตัวผู้เขียน ซึ่งต้นสายใหญ่ แตกแขนงออกมาจาก  คุณพ่อใหญ่ธรรมฝั้น บ้านนาดอกไม้ และสายวิชาธรรมเก้าโกฐิ สายตักศิลานคร รายละเอียดแต่ละสายจะต่างกันในบางเรื่องเช่น เรื่องห้องเรื่องขันแต่สุดท้ายทุกๆสาย จะมีจุดมุ่งหมายไปทางเดียวกันการเข้ารับพลังของดวงแก้วดวงธรรมฝึกจิตขัดเกลาใจเช่นเดียวกัน วิชาธรรมบรรลุมีความแปลกพิศดารตรงที่แต่ล่ะคนจะได้คาถาบทเดียวกันแต่เมื่อผ่านการยัดธรรมขึ้นขันธรรมแล้ว  จะสวดภาษาต่างๆโดยที่ตัวผู้สวดเองก็ไม่รู้ตัว บางคนก็เป็นภาษากูโบส บางคนก็ภาษา เขมร พม่า จีน อินเดีย ตามแต่ที่ดวงพระธรรมท่านจะโปรด  ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่การฝึกของผู้ร่ำเรียนเอง บางคนก็ได้หลายภาษาก็อยู่ที่ผลการปฎิบัติมาแต่ตั้งเดิมมาแต่สัญญาก่อน  การเรียนธรรมบรรลุการสวดธรรมก็เหมือน

ต้องธรณีสาร โทษร้ายแรงที่คนโบราณสะพึงกลัว แต่คนปัจจุบันแทบจะไม่สนใจ

เมื่อว่าถึงคำว่า ต้องธรณีสารแน่นอนว่าผู้สนใจทางไสยศาสตร์และคนเล่นเครื่องรางของขลัง ล้วนจะเคบได้ยินกันผ่านหูมาบ้าง คำนี้แม้จะเคยได้ยินกันแต่น้อยคนที่จะรู้ จะเข้าใจว่าต้องธรณีสารเป็นอย่างไร บางครั้งก็จนตัวเองต้องธรณีสารไปแล้ว แต่ยังไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็ย่ำแย่หาเวลาแก้ไขก็สายเกินไปเสียแล้ว ......อธิบายง่ายๆ การต้องธรณีสารก็คือการที่ซวยแบบไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น ซวยซ้ำซวยซ้อน ชีวิตไม่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้น ของหายอยู่เป็นประจำอันเป็นเหตุให้เสียเงินซื้อบ่อยๆ หนักกว่านั้นก็คือป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุ มีเงินเท่าไหร่ก็หมดไปกับการรักษา ชีวิตแทบจะไม่เป็นอันได้อยู่เป็นสุข เอากันแบบชัดเจนก็คือโดนคว่ำบาตรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดาทั้งหลาย ที่นอกจากจะไม่ช่วยเหลือแล้วยังซ้ำเติมให้หนักขึ้นกว่าเดิม   การต้องธรณีสาร เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นคนที่ไปทำพิธี ถือวิชา ใช้เครื่องรางของขลัง แล้วทำผิดข้อห้ามต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์ผู้ได้ลงวิชา ทำพิธีให้ท่านได้บอกไว้ เช่นถ่มน้ำลายลงโถส้วม ผิดลูกเมียคนอื่น ด่าพ่อแม่ทำร้ายบุพการี ลักทรัพย์หรือเสพยา ถ้าเป็นการผิดในเรื่องเบาๆ ส่วนมากก็แค่พิธีกรรมต่างๆที่ได้กระทำไปเสื่อมไม่เกิ

พระสุรัสวดี เทวีแห่งพระเวทย์และความรู้

พระแม่สุรัสวดี เป็นที่ที่นับถือกันอย่างสูงในนิกายศักติ นิกายนี้ถือเอาเทวีเป็นหลักมานับถือบูชา มีความเชื่อว่าพลังอำนาจแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคืออำนาจแห่งบุรษเทพ และอำนาจแห่งสตรีเทพ เทวีสูงสุดทั้ง 3 ของนิกายศักติ จึงเป็นชายาของมหาเทพทั้ง 3 พระศิวะ พระนารายณ์และพรพรหม แต่โดยหลักจะนับพระแม่อุมา ชายาของพระศิวะเป็นหลักตามแนวทางของไศวนิกาย ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงแต่เพียง พระสุรีสวดีเพียงพระองค์เดียว พระองค์จะถูกวาดสื่ออกมาในรูปแบบ สตรีผู้มีความสุขุม เยือกเย็น มองแล้วชวนให้สงบ มากกว่ามองแล้วจะรู้สึกถึงความมีอำนาจ และความงดงามแบบพระลักษมี ตามตำนานเล่าว่า พระแม่ทรงเป็นต้นกำเนิดแห่งคัมภีร์พระเวทย์ ซึ่งมีการก่อนศาสนาพราหมณ์ที่ยึดเอาคัมภีร์พระเวทย์เป็นหลัก อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดแห่งอักษร และประดิษฐ์วีณาขึ้นมา จึงได้ถือเอาพระแม่เป็นทั้งเทวีแห่งสรรพความรู้ เวทย์มนต์คาถา ศิลปการแสดงและดนตรี ดังที่ในบ้านเราจะมีการมอบรางวัล พระสุรัสวดีแก่นักแสดงดีเด่นในแต่ละปี ในรูปที่สื่อออกแทนองค์พระแม่ มักจะอยู่ในรูปแบบเทวี 4 กร ในมือจะถือวีณา สร้อยลูกประคำ มีความหมายถึงการภาวนาและการชำระจิต คัมภีร์หรือหนังสือ