ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เล่าเรื่องสายพราย ตอนที่ 2

มาต่อจากตอนที่แล้วกันนะครับ ตอนที่ 2 นี้จะว่ากันด้วยจุดกำเนิดเครื่องรางสายพราย อันที่จริงแล้ว จุดเริ่มของการมีเครื่องรางสายพรายในปัจจุบัน ก็มาจากประเพณี-วัฒนธรรมการเลี้ยงผี การนับถือศาสนาผี
มาแต่ดั้งเดิมของชาวอุษาคเนย์ การนับถือผีของชาวอุษาคเนย์ดั้งเดิม ถูกคนสมัยนี้เข้าใจคลาดเคลื่อนไปเยอะมาก เข้าใจกันไปว่าแค่นับถือคนที่ตายไปแล้วเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่อันที่จริงแล้ว
คำว่าผีของชาวอุษาคเนย์นั้น ความหมายรวมไปถึง ผีฟ้า-ผีแถน อันหมายถึง พระอินทร์ และรวมไปถึงผีบรรพบุรุษทั้งหลายด้วย ใครที่เข้าใจไปว่าคนโบราณนับถือผีเป็นศาสนาต่ำ ไม่มีอารยโปรดจงทำความเข้าใจเสียใหม่ครับ ความเชื่อดั้งเดิมของชาวอุษาคเนย์เชื่อกันว่า ผู้ใหญ่ในบ้านตายกลายเป็นผีบ้าน
ผู้ใหญ่ในเมืองตายกลายเป็นผีเมือง คอยดูแลรักษาบ้านเมืองและลูกหลาน ให้อยู่เย็นเป็นสุข หากลูกหลานหรือคนเมืองละเลย เกิดภัยพิบัติ หรือเกิดภัยแล้ว การเพาะปลูกไม่ดี จึงเชื่อกันว่าเพราะละเลย ผีฟ้า-ผีแถน ผีเมือง-ผีบรรพบุรุษ จึงมีประเพณีเลี้ยงผีประจำปี ในหลายๆพื้นที่ เทศกาลเช็งเม้งของลูกหลานชาวจีน ก็ถือเป็นหนึ่งในความเชื่อการเลี้ยงผีเช่นกัน ในภาคอีสานและทางภาคเหนือ ก็มีประเพณีที่ล้มควายกันเป็นตัวๆ เซ่นและเลี้ยงผีด้วยเลือดและเนื้อสดๆกันเลยก็มีมาแต่เนิ่นนาน แต่ปัจจุบันน้อยลงไปก็ด้วย สังคมสมัยใหม่ไม่ค่อยยอมรับ ถ้าทำก็เป็นการทำกันเงียบๆมากกว่า

และแม้แต่กระทั่งทางไสยศาสตร์เองการเลี้ยงครู หรือพูดกันตรงๆก็คือการเลี้ยงผีครูนั่นล่ะครับ ก็ยังคงทำกันอย่างแพร่หลาย ทั้งหมดนี้ก็คือหนึ่งในประเพณี-วัฒนธรรม ที่ตกทอดกันต่อมาแต่เมื่อครั้งอุษาคเนย์นั่นเอง ส่วนจุดเริ่มต้นของการนำผีมาใช้งาน ก็มาจากความเชื่อจากขอให้ผีบรรพบุรษช่วยเหลือสิ่งต่างๆ แต่ทีนี้การจะไปใช้ให้ผีบรรพบุรุษ ทำโน่นนี่ตามที่ตนต้องการหรือสั่งมันก็เป็นการไม่เหมาะสม ผู้ที่ร่ำเรียนวิชาคาถาอาคมและโบราณจารย์ ท่านจึงได้เริ่มผูกวิชาการใช้งานผีและวิญญาณต่างๆขึ้นมา ที่เรียกกันว่าวิชาปลุกโหงพรายหรือใช้งานภูติพรายกันนั่นเองครับ อันที่จริงคำว่าพราย จะใช้เฉพาะกับวิญญาณที่จมน้ำตาย เมื่อตายไปแล้ววิญญาณจะสิงอยู่ที่หนองน้ำ ไปไหนไม่ได้เมื่อยังไม่ถึงวาระ คนมีวิชาคาถาอาคมทั้งหลาย ก็จะไปผูกวิญญาณเรียกวิญญาณทั้งหลายเหล่านี้นี่ล่ะครับ นำมาผูกด้วยอาคมเพื่อให้งานตามความประสงค์ต่างๆ.....อ่านมาตรงนี้จะเห็นได้ว่า ไม่มีความจำเป็นว่าต้องมีชิ้่นส่วนหรือกระดูกคนตายแต่อย่างใด ถึงจะสามารถผูกหรือเรียกเอาวิญญาณมาใช้งานได้ แต่ทีนี้สมัยโบราณ ก็ไม่ได้ทุกที่จะมีหนองน้ำ มีคนจมน้ำตายและยากแก่การเสาะหา บางครั้งจึงได้นำเอาคนที่ตายในประเภทอื่นๆ แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นคนที่ตายก่อนวัยอันควร เพราะมีความเชื่อว่ายังไม่ถึงที่ตายวิญญาณยังไปไหนไม่ได้ ยังคงต้องวนเวียนเพื่อรอเวลาจะได้ไปเกิดอยู่ ก็จึงได้มีการนำคนที่ตายประเภทนี้มาทำการสะกดหรือใช้อาคมเพื่อนำมาใช้งานเช่นเดียวกัน จึงได้เรียกรวมกันว่าโหงพรายนั่นเอง การใช้งานโหงพรายในช่วงแรกๆ จะเป็นไปในทาง เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือกสวนไร่นา หรือใช้เตือนภัยไปจนถึงไปหลอกหลอน แกล้งคนที่ไม่ถูกกัน และมักจะมีเฉพาะคนที่ร่ำเรียนวิชาโดยเฉพาะเท่านั้น ไม่ได้มีทำขายกันทั่วๆไปแบบทุกวันนี้ นั่นก็เพราะคนที่ใช้มักจะต้องมีอาคมแก่กล้า ถึงจะสามารถสะกดและบังคับให้วิญญาณทำตามคำสั่งของตนได้ และมักจะเน้นการเลี้ยงให้ดุร้าย เพื่อเมื่อถึงเวลาปล่อยออกมา โหงพรายจะได้ปลดปล่อยความแค้นไปกับคำสั่งที่ให้ทำร้ายหรือก่อกวนผู้คน โดยรวมนี่ล่ะครับคือการใช้งานสายพรายยุคแรกๆ ตอนต่อไปค่อยมาเจาะลึกกันต่อ ถึงจุดเริ่มต้นของการนำโหงพรายหรือชิ้นส่วนคนตาย เรียกวิญญาณมาสะกดอยู่ ไปจนถึงการมีวัตถุอาถรรพ์เครื่องรางสายพรายขึ้นมา ติดตามกันต่อไปครับผม มีเวลาคงได้มาเขียนให้อ่านกันอีกครับ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิชาธรรมบรรลุ

วิชาธรรมบรรลุ การเรียนธรรมบรรลุ หนึ่งในวิชาโบราณอันลึกลับแห่งสายอีสาน ยากที่จะหาคำอธิบายที่สุดวิชานึง  หากจะกล่าวถึงต้นสายที่แท้จริงผู้เขียนเองก็จนปัญญาเนื่องจากไม่มีการบันทึกว่าเริ่มต้นแต่เมื่อใดสมัยใด แต่ปัจจุบันมีการแตกสายไปหลายทาง เช่นวิชาธรรมเก้าโกฎิ วิชาธรรมห้องพระไตร  วิชาธรรมฤาษี วิชาธรรมบรรดาล ในที่นี้จะกล่างถึงแค่สายของตัวผู้เขียน ซึ่งต้นสายใหญ่ แตกแขนงออกมาจาก  คุณพ่อใหญ่ธรรมฝั้น บ้านนาดอกไม้ และสายวิชาธรรมเก้าโกฐิ สายตักศิลานคร รายละเอียดแต่ละสายจะต่างกันในบางเรื่องเช่น เรื่องห้องเรื่องขันแต่สุดท้ายทุกๆสาย จะมีจุดมุ่งหมายไปทางเดียวกันการเข้ารับพลังของดวงแก้วดวงธรรมฝึกจิตขัดเกลาใจเช่นเดียวกัน วิชาธรรมบรรลุมีความแปลกพิศดารตรงที่แต่ล่ะคนจะได้คาถาบทเดียวกันแต่เมื่อผ่านการยัดธรรมขึ้นขันธรรมแล้ว  จะสวดภาษาต่างๆโดยที่ตัวผู้สวดเองก็ไม่รู้ตัว บางคนก็เป็นภาษากูโบส บางคนก็ภาษา เขมร พม่า จีน อินเดีย ตามแต่ที่ดวงพระธรรมท่านจะโปรด  ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่การฝึกของผู้ร่ำเรียนเอง บางคนก็ได้หลายภาษาก็อยู่ที่ผลการปฎิบัติมาแต่ตั้งเดิมมาแต่สัญญาก่อน  การเรียนธรรมบรรลุการสวดธรรมก็เหมือน

ต้องธรณีสาร โทษร้ายแรงที่คนโบราณสะพึงกลัว แต่คนปัจจุบันแทบจะไม่สนใจ

เมื่อว่าถึงคำว่า ต้องธรณีสารแน่นอนว่าผู้สนใจทางไสยศาสตร์และคนเล่นเครื่องรางของขลัง ล้วนจะเคบได้ยินกันผ่านหูมาบ้าง คำนี้แม้จะเคยได้ยินกันแต่น้อยคนที่จะรู้ จะเข้าใจว่าต้องธรณีสารเป็นอย่างไร บางครั้งก็จนตัวเองต้องธรณีสารไปแล้ว แต่ยังไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็ย่ำแย่หาเวลาแก้ไขก็สายเกินไปเสียแล้ว ......อธิบายง่ายๆ การต้องธรณีสารก็คือการที่ซวยแบบไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น ซวยซ้ำซวยซ้อน ชีวิตไม่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้น ของหายอยู่เป็นประจำอันเป็นเหตุให้เสียเงินซื้อบ่อยๆ หนักกว่านั้นก็คือป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุ มีเงินเท่าไหร่ก็หมดไปกับการรักษา ชีวิตแทบจะไม่เป็นอันได้อยู่เป็นสุข เอากันแบบชัดเจนก็คือโดนคว่ำบาตรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดาทั้งหลาย ที่นอกจากจะไม่ช่วยเหลือแล้วยังซ้ำเติมให้หนักขึ้นกว่าเดิม   การต้องธรณีสาร เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นคนที่ไปทำพิธี ถือวิชา ใช้เครื่องรางของขลัง แล้วทำผิดข้อห้ามต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์ผู้ได้ลงวิชา ทำพิธีให้ท่านได้บอกไว้ เช่นถ่มน้ำลายลงโถส้วม ผิดลูกเมียคนอื่น ด่าพ่อแม่ทำร้ายบุพการี ลักทรัพย์หรือเสพยา ถ้าเป็นการผิดในเรื่องเบาๆ ส่วนมากก็แค่พิธีกรรมต่างๆที่ได้กระทำไปเสื่อมไม่เกิ

พระสุรัสวดี เทวีแห่งพระเวทย์และความรู้

พระแม่สุรัสวดี เป็นที่ที่นับถือกันอย่างสูงในนิกายศักติ นิกายนี้ถือเอาเทวีเป็นหลักมานับถือบูชา มีความเชื่อว่าพลังอำนาจแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคืออำนาจแห่งบุรษเทพ และอำนาจแห่งสตรีเทพ เทวีสูงสุดทั้ง 3 ของนิกายศักติ จึงเป็นชายาของมหาเทพทั้ง 3 พระศิวะ พระนารายณ์และพรพรหม แต่โดยหลักจะนับพระแม่อุมา ชายาของพระศิวะเป็นหลักตามแนวทางของไศวนิกาย ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงแต่เพียง พระสุรีสวดีเพียงพระองค์เดียว พระองค์จะถูกวาดสื่ออกมาในรูปแบบ สตรีผู้มีความสุขุม เยือกเย็น มองแล้วชวนให้สงบ มากกว่ามองแล้วจะรู้สึกถึงความมีอำนาจ และความงดงามแบบพระลักษมี ตามตำนานเล่าว่า พระแม่ทรงเป็นต้นกำเนิดแห่งคัมภีร์พระเวทย์ ซึ่งมีการก่อนศาสนาพราหมณ์ที่ยึดเอาคัมภีร์พระเวทย์เป็นหลัก อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดแห่งอักษร และประดิษฐ์วีณาขึ้นมา จึงได้ถือเอาพระแม่เป็นทั้งเทวีแห่งสรรพความรู้ เวทย์มนต์คาถา ศิลปการแสดงและดนตรี ดังที่ในบ้านเราจะมีการมอบรางวัล พระสุรัสวดีแก่นักแสดงดีเด่นในแต่ละปี ในรูปที่สื่อออกแทนองค์พระแม่ มักจะอยู่ในรูปแบบเทวี 4 กร ในมือจะถือวีณา สร้อยลูกประคำ มีความหมายถึงการภาวนาและการชำระจิต คัมภีร์หรือหนังสือ