คิดว่าหลายๆคนคงน่าจะพอเคยได้ยินคำเปรียบเปรยประโยคนึง ประโยคนั้นมีว่า " ประวัติศาสตร์จริงเจ็ดเท็จสาม พงศาวดารจริงสามเท็จเจ็ด ส่วนถ้าเป็นเทพนิยายนั่นหมายความว่าเชื่อแทบไม่ได้เลย "
ผ่านๆหูกันมาอยู่บ้าง บทความในวันนี้จะมาว่าเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหลายของเทพนิยาย ตำนานเทพองค์ต่างๆ ที่เราเชื่อกันอยู่นี่ล่ะครับ เชื่อเกี่ยวกับความเป็นมาของเทพทั้งหลายโดยหลักเราจะรับความเชื่อมาจากทางแขกฮินดู ซึ่งจากบรรดานักเทววิทยาทั้งหลายลงความเห็นให้ว่าเป็นความมั่วที่เชื่อถือแทบจะไม่ได้เลย นั่นก็เพราะว่าหลักจากที่ศาสนาพราหมณ์ได้เสื่อมความนิยมลง ช่วงการเกิดขึ้นของศาสนาพุทธในอินเดีย ก็ได้ปรับปรุงแต่งเติมจนกลับมาใหม่ในชื่อศาสนาฮินดู โดยควบรวมเหมาเอาความเชื่อของแทบจะทุกพื้นที่เข้าเอาไป เพื่อรวมรวมผู้ศรัทธาให้มีปริมาณเยอะๆ เทพทั้งหลายที่ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์แต่ดั้งเดิม ก็ถูกเหมาเอาให้กลายเป็นเทพในสังกัดฮินดูไปซะแทบทั้งหมด โดยผ่านทางเทพนิยายที่แต่งกันขึ้นมาใหม่นั่นล่ะครับ เพราะแต่ดั้งเดิมพราหมณ์นับถือกับแค่สามมหาเทพหลัก ก็ที่ทราบกันดี พระพรหม-พระผู้สร้าง พระศิวะ-พระผู้ทำลาย พระนารายณ์-พระผู้รักษากอบกู้ อันเป็นหลักสัจจธรรมหลักที่ว่า เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป แต่เมื่อมีช่วงหลังๆ ที่พราหมณ์บางส่วนได้ละทิ้งทางพราหมณ์ไปเข้ากับทางพุทธ เพราะองค์พระศาสดาท่านได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าเป็นหนทางแห่งความดับทุกข์ได้จริง ยิ่งมีเรื่องเล่าทำนองว่าพระพรหมทรงปรากฎในพิธีบูชาไฟของพราหมณ์ บอกแก่เหล่าพราหมณ์ว่าจงไปหาตถาคตเพื่อหาทางแห่งการดับทุกข์เสียเถิด ก็ยิ่งทำเอาพราหมณ์ทั้งหลายเสียหน้า เห็นว่าเป็นแบบนี้ท่าจะไม่ดีแล้ว ทางเดียวคือต้องหาทางทำลายมหาเทพเก่าที่ไม่ส่งเสริมพวกเราเสีย โดยการชูมหาเทพใหม่ขึ้นมา ผลก็คือเกิดเรื่องเล่าเทพนิยายที่ใส่ร้ายป้ายสีจนพระพรหมเละไม่มีชิ้นดี และเสื่อมความนิยมลงในที่สุด สังเกตุดูจนปัจจุบันฮินดูแทบจะไม่กล่าวถึงพระพรหมในทางที่ดีเลย
แต่เมื่อทำให้พระพรหมเสื่อมความนิยมแล้ว ทีนี้ก็ถกเถียงกันต่อว่าควรจะชูมหาเทพองค์ไหนขึ้นมาเป็นหลักดี สุดท้ายเมื่อเถียงกันไม่ลงตัวก็แตกกันจนไปเป็น ไศวนิกาย-นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ และไวษวนิกาย-นับถือพระนารายณ์เป็นใหญ่ ซึ่งแน่นอน ตำนานเทพนิยายการกำเนิดเทพ เทวีองค์ต่างๆก็มาแต่งนิยายแพร่หลายกันก็ในช่วงนี้ล่ะครับ ซึ่งนักเทววิทยาส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ จะมียอมรับก็คือพวกบรรดาร่างทรงต่างๆของบ้านเราเท่านั้น ซึ่งของบ้านเราไม่มีการศึกษาทางด้านเทววิทยากันโดยตรง ก็เลยแทบจะกลายไปเป็นความเชื่อที่ฝังหัวไปโดยปริยาย ซึ่งในทางความเป็นจริงแล้วเทพหลายๆองค์ท่านไม่ได้สังกัดในศาสนาฮินดูเลยแม้แต่น้อย แต่โดนควบรวมเอาไปจนแทบจะไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปอย่างแท้จริงของท่านทั้งหลายกันแล้ว ยกตัวอย่างเช่น พระแม่อุมา พระพิฆเนศ สองท่านนี้แต่เดิมก็ไม่ได้รับการรนับถือเพราะว่าเป็นภรรยาและบุตรของพระศิวะแต่อย่างใด โดยพระแม่อุมา พระสรัสวดี ท่านก็เป็นเทพที่ได้รับการนับถือของคนบางกลุ่มมาแต่เดิมมาเนิ่นนาน และแม้แต่พระพิฆเนศเองก็ตามไม่ได้นับถือกันเพราะว่าท่านเป็นบุตรของพระศิวะแม้แต่อย่างใด และหลายๆคนเองก็คงจะไม่ทราบว่าพระพิฆเนศ ท่านถือเป็นเทพที่มีคนนับถือมากมายในหลายพื้นที่ แม้แต่อุษาคเนย์หรือจนถึงในไทยเราเองก็ตาม นับถือกันมาแต่โบราณเนิ่นนานกันแล้ว คงพอจะคุ้นเคยกันตอนเด็กๆเวลาขอหรือบนบาน กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะมีคำพูดติดปากที่ว่า "ลูกช้าง" แทนตัวเรานั่นก็มาจากการขอพรจากพระพิฆเนศแต่เดิมนั่นล่ะครับ ซึ่งความนิยมนับถือพระพิฆเนศบ้านเรามีมาช้านาน ตั้งแต่สมัย ร.6 ท่านก็มีการสร้างศาลเทวาลัยบูชาพระพิฆเนศของท่าน เท่านี้ก็คงเป็นการยืนยันได้ในระดับนึง ดังนั้นแล้วการบูชาพระพิฆเนศไม่ได้มีมาตามตำนานของฮินดู ที่ว่าท่านเป็นบุตรของพระศิวะแต่อย่างใด กลับกันพระศิวะเองต่างหากที่เพิ่งจะมาได้รับความนิยม คนกล้าบูชากันในช่วงไม่กี่ปีหลังนี้เอง ทั้งๆที่ก่อนนี้เป็นมหาเทพที่คนส่วนใหญ่กลัวที่จะบูชา เพราะจากตำนานความดุของท่านอีกทั้งยังเป็นเทพแห่งการทำลาย บางความหมายไปเทพแห่งความตาย หรือที่เรียกท่านอีกนามว่า ภูเตศวร-ผู้เป็นใหญ่ในหมู่ภูตินั่นเอง และแม้แต่ศิวะลึงค์เองก็ตามก็มีลัทธิบูชาอวัยวะเพศชายมาแต่ดั้งเดิมแล้ว ก็ได้รับแต่งนิยายเสริมเติมให้กลายเป็นสิ่งแทนองคชาติของพระศิวะไป (โยนีก็เช่นเดียวกันครับ)
ผ่านๆหูกันมาอยู่บ้าง บทความในวันนี้จะมาว่าเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหลายของเทพนิยาย ตำนานเทพองค์ต่างๆ ที่เราเชื่อกันอยู่นี่ล่ะครับ เชื่อเกี่ยวกับความเป็นมาของเทพทั้งหลายโดยหลักเราจะรับความเชื่อมาจากทางแขกฮินดู ซึ่งจากบรรดานักเทววิทยาทั้งหลายลงความเห็นให้ว่าเป็นความมั่วที่เชื่อถือแทบจะไม่ได้เลย นั่นก็เพราะว่าหลักจากที่ศาสนาพราหมณ์ได้เสื่อมความนิยมลง ช่วงการเกิดขึ้นของศาสนาพุทธในอินเดีย ก็ได้ปรับปรุงแต่งเติมจนกลับมาใหม่ในชื่อศาสนาฮินดู โดยควบรวมเหมาเอาความเชื่อของแทบจะทุกพื้นที่เข้าเอาไป เพื่อรวมรวมผู้ศรัทธาให้มีปริมาณเยอะๆ เทพทั้งหลายที่ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์แต่ดั้งเดิม ก็ถูกเหมาเอาให้กลายเป็นเทพในสังกัดฮินดูไปซะแทบทั้งหมด โดยผ่านทางเทพนิยายที่แต่งกันขึ้นมาใหม่นั่นล่ะครับ เพราะแต่ดั้งเดิมพราหมณ์นับถือกับแค่สามมหาเทพหลัก ก็ที่ทราบกันดี พระพรหม-พระผู้สร้าง พระศิวะ-พระผู้ทำลาย พระนารายณ์-พระผู้รักษากอบกู้ อันเป็นหลักสัจจธรรมหลักที่ว่า เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป แต่เมื่อมีช่วงหลังๆ ที่พราหมณ์บางส่วนได้ละทิ้งทางพราหมณ์ไปเข้ากับทางพุทธ เพราะองค์พระศาสดาท่านได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าเป็นหนทางแห่งความดับทุกข์ได้จริง ยิ่งมีเรื่องเล่าทำนองว่าพระพรหมทรงปรากฎในพิธีบูชาไฟของพราหมณ์ บอกแก่เหล่าพราหมณ์ว่าจงไปหาตถาคตเพื่อหาทางแห่งการดับทุกข์เสียเถิด ก็ยิ่งทำเอาพราหมณ์ทั้งหลายเสียหน้า เห็นว่าเป็นแบบนี้ท่าจะไม่ดีแล้ว ทางเดียวคือต้องหาทางทำลายมหาเทพเก่าที่ไม่ส่งเสริมพวกเราเสีย โดยการชูมหาเทพใหม่ขึ้นมา ผลก็คือเกิดเรื่องเล่าเทพนิยายที่ใส่ร้ายป้ายสีจนพระพรหมเละไม่มีชิ้นดี และเสื่อมความนิยมลงในที่สุด สังเกตุดูจนปัจจุบันฮินดูแทบจะไม่กล่าวถึงพระพรหมในทางที่ดีเลย
แต่เมื่อทำให้พระพรหมเสื่อมความนิยมแล้ว ทีนี้ก็ถกเถียงกันต่อว่าควรจะชูมหาเทพองค์ไหนขึ้นมาเป็นหลักดี สุดท้ายเมื่อเถียงกันไม่ลงตัวก็แตกกันจนไปเป็น ไศวนิกาย-นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ และไวษวนิกาย-นับถือพระนารายณ์เป็นใหญ่ ซึ่งแน่นอน ตำนานเทพนิยายการกำเนิดเทพ เทวีองค์ต่างๆก็มาแต่งนิยายแพร่หลายกันก็ในช่วงนี้ล่ะครับ ซึ่งนักเทววิทยาส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ จะมียอมรับก็คือพวกบรรดาร่างทรงต่างๆของบ้านเราเท่านั้น ซึ่งของบ้านเราไม่มีการศึกษาทางด้านเทววิทยากันโดยตรง ก็เลยแทบจะกลายไปเป็นความเชื่อที่ฝังหัวไปโดยปริยาย ซึ่งในทางความเป็นจริงแล้วเทพหลายๆองค์ท่านไม่ได้สังกัดในศาสนาฮินดูเลยแม้แต่น้อย แต่โดนควบรวมเอาไปจนแทบจะไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปอย่างแท้จริงของท่านทั้งหลายกันแล้ว ยกตัวอย่างเช่น พระแม่อุมา พระพิฆเนศ สองท่านนี้แต่เดิมก็ไม่ได้รับการรนับถือเพราะว่าเป็นภรรยาและบุตรของพระศิวะแต่อย่างใด โดยพระแม่อุมา พระสรัสวดี ท่านก็เป็นเทพที่ได้รับการนับถือของคนบางกลุ่มมาแต่เดิมมาเนิ่นนาน และแม้แต่พระพิฆเนศเองก็ตามไม่ได้นับถือกันเพราะว่าท่านเป็นบุตรของพระศิวะแม้แต่อย่างใด และหลายๆคนเองก็คงจะไม่ทราบว่าพระพิฆเนศ ท่านถือเป็นเทพที่มีคนนับถือมากมายในหลายพื้นที่ แม้แต่อุษาคเนย์หรือจนถึงในไทยเราเองก็ตาม นับถือกันมาแต่โบราณเนิ่นนานกันแล้ว คงพอจะคุ้นเคยกันตอนเด็กๆเวลาขอหรือบนบาน กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะมีคำพูดติดปากที่ว่า "ลูกช้าง" แทนตัวเรานั่นก็มาจากการขอพรจากพระพิฆเนศแต่เดิมนั่นล่ะครับ ซึ่งความนิยมนับถือพระพิฆเนศบ้านเรามีมาช้านาน ตั้งแต่สมัย ร.6 ท่านก็มีการสร้างศาลเทวาลัยบูชาพระพิฆเนศของท่าน เท่านี้ก็คงเป็นการยืนยันได้ในระดับนึง ดังนั้นแล้วการบูชาพระพิฆเนศไม่ได้มีมาตามตำนานของฮินดู ที่ว่าท่านเป็นบุตรของพระศิวะแต่อย่างใด กลับกันพระศิวะเองต่างหากที่เพิ่งจะมาได้รับความนิยม คนกล้าบูชากันในช่วงไม่กี่ปีหลังนี้เอง ทั้งๆที่ก่อนนี้เป็นมหาเทพที่คนส่วนใหญ่กลัวที่จะบูชา เพราะจากตำนานความดุของท่านอีกทั้งยังเป็นเทพแห่งการทำลาย บางความหมายไปเทพแห่งความตาย หรือที่เรียกท่านอีกนามว่า ภูเตศวร-ผู้เป็นใหญ่ในหมู่ภูตินั่นเอง และแม้แต่ศิวะลึงค์เองก็ตามก็มีลัทธิบูชาอวัยวะเพศชายมาแต่ดั้งเดิมแล้ว ก็ได้รับแต่งนิยายเสริมเติมให้กลายเป็นสิ่งแทนองคชาติของพระศิวะไป (โยนีก็เช่นเดียวกันครับ)
ของบ้านเราเองก็โดนควบรวมไปไม่น้อยเช่นกัน เช่นมีความเชื่อกันว่าปู่ฤาษีตาไฟ ท่านเป็นปางหนึ่งของพระศิวะ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย ปู่ฤาษีตาไฟท่านเป็นที่นับถือของคนพื้นที่แต่เดิมและไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับทางฮินดูแม้แต่นิดเดียว ปู่ฤาษีตาไฟ พระเพชรฉลูกัณฑ์ ท่านเป็นที่นับถือมาแต่ครั้งโบราณของคนอุษาคเนย์อยู่แล้ว ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรทางฮินดูเลยแม้แต่น้อย พระเพชรฉลูกัณฑ์ ถามครูหมอเหล็กรุ่นเก่าๆกันดูได้ครับ ท่านเป็นครูหลักของสายนี้โดยตรง
ส่วนปู่เจ้าสมิงพราย ที่ไม่โดนแต่งนิยายเสริมเติมควบรวมให้เป็นปางหนึ่ง ปางใดของทั้งพระศิวะและพระวิษณุ นั่นก็เพราะเพิ่งจะมีการนับถือท่านเป็นเรื่องเป็นราวจากคนส่วนใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้เองครับ
คาดว่าเลยทำให้แต่งเทพนิยายให้เป็นปางหนึ่งปางใดไม่ทัน แต่ไม่แน่ว่าหากท่านยังคงเป็นที่สักการะบูชาของคนส่วนใหญ่อยู่ ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีเทพนิยายเรื่องใหม่มาให้เราอ่านกันก็เป็นได้
เอ่ยกล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้เจตนามุ่งจะโจมตีแขกฮินดูแต่อย่างใด หากแต่อยากให้ผู้ที่ติดตามอ่านบทความ ความรู้จากผมไม่งมงาย นับถืออะไรกันไปตามกระแส เชื่อเพราะว่าเทพนิยาย ตำนานว่าอย่างนั้น บอกมาอย่างนี้ เป็นกันอย่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากคนงมงายที่เชื่อมันไปเสียทุกเรื่อง เพราะผมก็บอกหลายครั้งและแทบจะทุกครั้งที่เขียนบทความใดๆ ไม่ต้องการสอนให้ใครงมงาย เพราะไสยศาสตร์ไม่ได้สอนให้งมงาย หากแต่ศึกษากันให้ถ่องแท้จะนำให้เกิดปัญญาได้อย่างมากมายไม่แพ้การศึกษาใดๆ
บทความนี้หรือรวมไปถึงบทความเก่าๆที่ผมเขียน ไม่จำเป็นต้องเชื่อตามที่ผมบอก เพราะมันคือการศึกษาและความเชื่อ ความเข้าใจส่วนตัวของผมเอง เอามาถ่ายทอดบอกกล่าว ก็หวังจะให้ใช้ปัญญาพิจารณากัน ไม่ต้องเชื่อแต่อยากให้ไปหาข้อมูลต่อแล้วถ้าไม่จริงเอามาถกเถียงกับผมได้ครับ
ห่างหายไปกับการเขียนอะไรยาวๆ วันนี้พอมีเวลาเอามาให้อ่านกันสนุกๆครับ
สมิงเดชา ฤษเวทย์ คนธรรมดาผู้ใช้เวทย์แห่งฤาษี
ผมบอกได้เลยคุณ ทุกอย่างนี้คือเรื่องจริง
ตอบลบ