ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ไม่ขอไม่ให้ ไม่ใช้ไม่ทำ.....

เรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่คนใช้เครื่องรางของขลังหลายๆคนมักจะมองข้ามไป แต่หารู้ไม่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณใช้ของได้ไม่เกิดผล นั่นก็คือ "การอธิษฐานและการอารธนา"

มีหลายคนจำนวนไม่น้อย (แม้แต่ตัวผมเองช่วงแรกๆ) ก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร คิดไปเอาว่าของดีแขวนแล้วก็ต้องเกิดสิ่งดีๆสิ หรือบางครั้งก็มีคิดไปทำนองท้าทายว่า ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริง ถ้าแรงจริง ดีจริง ก็ต้องรู้ว่าเราต้องการอะไร
หรืออีกอย่างก็มี แล้วแต่ว่าเบื้องบน ครูบาอาจารย์ท่านจะให้อะไร ไม่อยากขอ ขอแล้วรู้สึกเหมือนเป็นคนกิเลสหนา ละโมบโลภมาก............มีใครคิดแบบนี้ รบกวนแสดงตัวให้รู้ทีครับ ไม่ใช่เรื่องน่าอับอายแต่อย่างใด เพราะครั้งนึงคนที่ใช้ของได้เกิดประสบการณ์กันอย่างชัดเจนในเวลานี้ ก็เคยผ่านการคิดแบบนี้กันมาแล้วแทบจะทุกคน

จำไว้ให้ขึ้นใจเสมอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แรงครู แรงคาถาอาคมทั้งหลาย ท่านมายุ่งเกี่ยวกับชะตาชีวิตมนุษย์ไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้ร้องขอ แม้ท่านจะอยากช่วยเพียงใดแต่หากเราไม่อนุญาต ไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากท่าน ท่านจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย มีกล่าวคำนึงที่ผมชอบมาก เกี่ยวกับพลังเหนือโลกนั่นก็คือ "ไม่ขอไม่ให้ ไม่ใช้ไม่ทำ" เมื่อใดที่เราร้องขอ นั่นก็เป็นอันว่าเราอยู่ภายใต้การดูแลของท่าน ท่านสามารถส่งเสริมและช่วยเหลือเราได้ (ที่เหมาะสมและไม่เกินกรรม)
อย่างนึงที่ต้องพึงสังวรณ์ไว้เช่นกัน พลังเหนือโลกทั้งหลายท่านถือพรหม"อุเบกขา" นั่นคือหากช่วยเหลือไม่ได้ ท่านก็ไม่ทำอะไรที่มันฝืนธรรมชาติหรือเหนือปาฎิหาริย์ ดังนั้นควรจะขออะไร ที่มันอยู่ในหลักความเป็นจริง ไม่เหนือธรรมชาติมากจนเกินไป เพราะทันทีที่เราขอท่านก็ได้ช่วยเหลือตั้งแต่เราเอ่ยปากแล้ว เพียงแต่จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ อยู่ที่ตัวเราเองและเราเห็นและฉวยโอกาสนั้นเอาไว้ได้หรือไม่

นี่คือเคล็ดสำคัญที่สุดในการจะใช้วัตถุและเครื่องรางทั้งหลายให้เกิดผลครับ ใครที่ใช้แล้วเงียบยังไม่เกิดประสบการณ์ใดๆ พิจารณาดู ว่าท่านขอแบบไหน ขอแบบตั้งใจและออกมาจากใจจริงๆ หรือขอๆไปงั้นโดยไม่หวังว่าจะสำเร็จ สิ่งที่ขอคืออะไร เราสมควรจะได้หรือไม่ ถ้าเราสมควรจะได้แล้วยังไม่ได้ ก็ให้ขอจนกว่าจะได้ โดยที่ตัวเราเองก็อย่าย้อมแพ้ อย่าย่อท้อ ลุกขึ้นสู้จนกว่าจะสำเร็จ
อีกวิธีนึงของเคล็ดการใช้วัตถุต่างๆให้เกิดผลครับ สมหวังสำเร็จทุกความตั้งใจกันทุกคนครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิชาธรรมบรรลุ

วิชาธรรมบรรลุ การเรียนธรรมบรรลุ หนึ่งในวิชาโบราณอันลึกลับแห่งสายอีสาน ยากที่จะหาคำอธิบายที่สุดวิชานึง  หากจะกล่าวถึงต้นสายที่แท้จริงผู้เขียนเองก็จนปัญญาเนื่องจากไม่มีการบันทึกว่าเริ่มต้นแต่เมื่อใดสมัยใด แต่ปัจจุบันมีการแตกสายไปหลายทาง เช่นวิชาธรรมเก้าโกฎิ วิชาธรรมห้องพระไตร  วิชาธรรมฤาษี วิชาธรรมบรรดาล ในที่นี้จะกล่างถึงแค่สายของตัวผู้เขียน ซึ่งต้นสายใหญ่ แตกแขนงออกมาจาก  คุณพ่อใหญ่ธรรมฝั้น บ้านนาดอกไม้ และสายวิชาธรรมเก้าโกฐิ สายตักศิลานคร รายละเอียดแต่ละสายจะต่างกันในบางเรื่องเช่น เรื่องห้องเรื่องขันแต่สุดท้ายทุกๆสาย จะมีจุดมุ่งหมายไปทางเดียวกันการเข้ารับพลังของดวงแก้วดวงธรรมฝึกจิตขัดเกลาใจเช่นเดียวกัน วิชาธรรมบรรลุมีความแปลกพิศดารตรงที่แต่ล่ะคนจะได้คาถาบทเดียวกันแต่เมื่อผ่านการยัดธรรมขึ้นขันธรรมแล้ว  จะสวดภาษาต่างๆโดยที่ตัวผู้สวดเองก็ไม่รู้ตัว บางคนก็เป็นภาษากูโบส บางคนก็ภาษา เขมร พม่า จีน อินเดีย ตามแต่ที่ดวงพระธรรมท่านจะโปรด  ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่การฝึกของผู้ร่ำเรียนเอง บางคนก็ได้หลายภาษาก็อยู่ที่ผลการปฎิบัติมาแต่ตั้งเดิมมาแต่สัญญาก่อน  การเรียนธรรมบรรลุการสวดธรรมก็เหมือน

ต้องธรณีสาร โทษร้ายแรงที่คนโบราณสะพึงกลัว แต่คนปัจจุบันแทบจะไม่สนใจ

เมื่อว่าถึงคำว่า ต้องธรณีสารแน่นอนว่าผู้สนใจทางไสยศาสตร์และคนเล่นเครื่องรางของขลัง ล้วนจะเคบได้ยินกันผ่านหูมาบ้าง คำนี้แม้จะเคยได้ยินกันแต่น้อยคนที่จะรู้ จะเข้าใจว่าต้องธรณีสารเป็นอย่างไร บางครั้งก็จนตัวเองต้องธรณีสารไปแล้ว แต่ยังไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็ย่ำแย่หาเวลาแก้ไขก็สายเกินไปเสียแล้ว ......อธิบายง่ายๆ การต้องธรณีสารก็คือการที่ซวยแบบไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น ซวยซ้ำซวยซ้อน ชีวิตไม่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้น ของหายอยู่เป็นประจำอันเป็นเหตุให้เสียเงินซื้อบ่อยๆ หนักกว่านั้นก็คือป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุ มีเงินเท่าไหร่ก็หมดไปกับการรักษา ชีวิตแทบจะไม่เป็นอันได้อยู่เป็นสุข เอากันแบบชัดเจนก็คือโดนคว่ำบาตรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดาทั้งหลาย ที่นอกจากจะไม่ช่วยเหลือแล้วยังซ้ำเติมให้หนักขึ้นกว่าเดิม   การต้องธรณีสาร เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นคนที่ไปทำพิธี ถือวิชา ใช้เครื่องรางของขลัง แล้วทำผิดข้อห้ามต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์ผู้ได้ลงวิชา ทำพิธีให้ท่านได้บอกไว้ เช่นถ่มน้ำลายลงโถส้วม ผิดลูกเมียคนอื่น ด่าพ่อแม่ทำร้ายบุพการี ลักทรัพย์หรือเสพยา ถ้าเป็นการผิดในเรื่องเบาๆ ส่วนมากก็แค่พิธีกรรมต่างๆที่ได้กระทำไปเสื่อมไม่เกิ

พระสุรัสวดี เทวีแห่งพระเวทย์และความรู้

พระแม่สุรัสวดี เป็นที่ที่นับถือกันอย่างสูงในนิกายศักติ นิกายนี้ถือเอาเทวีเป็นหลักมานับถือบูชา มีความเชื่อว่าพลังอำนาจแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคืออำนาจแห่งบุรษเทพ และอำนาจแห่งสตรีเทพ เทวีสูงสุดทั้ง 3 ของนิกายศักติ จึงเป็นชายาของมหาเทพทั้ง 3 พระศิวะ พระนารายณ์และพรพรหม แต่โดยหลักจะนับพระแม่อุมา ชายาของพระศิวะเป็นหลักตามแนวทางของไศวนิกาย ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงแต่เพียง พระสุรีสวดีเพียงพระองค์เดียว พระองค์จะถูกวาดสื่ออกมาในรูปแบบ สตรีผู้มีความสุขุม เยือกเย็น มองแล้วชวนให้สงบ มากกว่ามองแล้วจะรู้สึกถึงความมีอำนาจ และความงดงามแบบพระลักษมี ตามตำนานเล่าว่า พระแม่ทรงเป็นต้นกำเนิดแห่งคัมภีร์พระเวทย์ ซึ่งมีการก่อนศาสนาพราหมณ์ที่ยึดเอาคัมภีร์พระเวทย์เป็นหลัก อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดแห่งอักษร และประดิษฐ์วีณาขึ้นมา จึงได้ถือเอาพระแม่เป็นทั้งเทวีแห่งสรรพความรู้ เวทย์มนต์คาถา ศิลปการแสดงและดนตรี ดังที่ในบ้านเราจะมีการมอบรางวัล พระสุรัสวดีแก่นักแสดงดีเด่นในแต่ละปี ในรูปที่สื่อออกแทนองค์พระแม่ มักจะอยู่ในรูปแบบเทวี 4 กร ในมือจะถือวีณา สร้อยลูกประคำ มีความหมายถึงการภาวนาและการชำระจิต คัมภีร์หรือหนังสือ