ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ว่าด้วยเรื่องผี



ห่างหายจากการเขียนอะไรให้อ่านพอสมควร ด้วยงานที่เยอะพอสมควร ทำให้สมองค่อยข้างตัน คิดอะไรๆมาเขียนไม่ค่อยออก พอมีเวลานิดๆหน่อยๆ ก็เขียนให้อ่านกันเพลินๆสลับกับงานขายครับผม
วันนี้ว่าด้วยเรื่องผี คำนี้หลายๆคนรู้จักดีอยู่แล้ว หากแต่ส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดอยู่ ว่าผี หมายถึงวิญญาณคนที่ตายไปแล้ว เหมาเอาไปรวมพวกสัมภเวสี
วิญญาณเร่ร่อน ภูติพรายต่างๆ เท่านั้น แต่ความจริงแล้วคำว่าผี มีความหมายที่ลึกไปกว่านั้นครับ 
เมื่อเอ่ยถึงศาสนาผี การนับถือผี ของคนอุษาคเนย์แต่โบราณ คนปัจจุบันจึงมักจะเข้าใจกันไปว่า นับถือของต่ำ งมงาย สมัยปัจจุบันนับถือ พระรัตนตรัย เทพเทวาต่างๆ นับถือผีเป็นเรื่องไม่ควร แต่ในความหมายของผี ของคนอุษาคเนย์แต่โบราณ ผีนั้นครอบคลุมทั้งหมดครับ ผีชั้นสูง ผีฟ้า พญาแถน นี่ก็ที่คนสมัยนี้รู้จักในชื่อพระอินทร์ เทวดา ทั้งหลาย วิญญาณบรรพบุรุษ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง ทั้งหมดเหล่านี้คือผีครับผม เพราะมีความเชื่อของคนโบราณคือ คนในบ้านตายกลายเป็นผีบ้าน เจ้าเมืองตายกลายเป็นผีเมือง หมอผี หมอธรรมตายกลายเป็นผีครู ผีวิชา คอยรักษาและชี้นำผู้มีชีวิตอยู่รุ่นหลัง ในอยู่เย็นเป็นสุข พิธีไหว้ผีก็เป็นไปเพื่อการเซ่นไหว้วิญญาณท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ได้ไหว้นับถือผี สัมภเวสีเร่ร่อนแต่ประการใดครับผม พิธีไหว้ผีแพร่หลายในอุษาคเนย์ ในหลายประเทศหลายวัฒนธรรม ถ้าของจีนก็เทศกาลเช็งเม้ง ที่ไหว้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ของไทยทางภาคใต้ก็สารทเดือนสิบ และที่ปัจจุบันเรียกว่าพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ของทางไสยศาสตร์ปัจจุบันก็ ปรับเปลี่ยนมาจากพิธีไหว้ผี ที่แต่เดิมที่จะทำกันทุกหมู่บ้าน ทุกปี เวลาผ่านไปๆก็กลายมาเป็นพิธีไหว้ครูเพื่อให้คนภายนอกที่ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้สึกกลัวเพราะความไม่รู้ จนกลายเป็นประเพณีอย่างนึงของผู้นับถือไสยศาสตร์ไป
ศาสนาผี ลัทธิบูชาผี โดนกล่าวว่างมงาย จากการเริ่มต้นของการพยายามล้างความเชื่อดั้งเดิมของศาสนาพุทธนิกายธรรมยุต และมากลายเป็นความงมงายอย่างสมบูรณ์ในยุคสมัยของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่ปฎิเสธความเชื่อเดิมๆของบรรพบุรุษไทยว่าเป็นความงมงาย ต้องการทำประเทศให้ศิวิไลซ์เหมือนดั่งเช่นประเทศตะวันตก ทำให้ภูมิปัญญาเก่าๆ ความเชื่อเก่าๆสูญหายไปก็ในช่วงนี้อย่างน่าเสียดาย
แต่ถึงแม้ทางการจะพยายามลบล้างความเชื่อเรื่องผี แต่ในขณะเดียวกันทางการเองก็ไม่ได้ปฎิเสธผี ยังคงมีการยอมรับผีเห็นได้จากเสาหลักเมืองทั้งหลายที่มีทุกจังหวัด นั่นก็คือสัญลักษณ์แห่งการยอมรับศาสนาผีแบบไม่เต็มใจนั่นเอง เพียงแต่ศาสนาผีดั้งเดิม ปรับเปลี่ยนไปเป็นไหว้เทวดา เทพารักษ์ มเหศักดิ์ หลักเมือง ยกฐานะผีแต่ดั้งเดิมที่คนโบราณเรียกให้กลายเป็นเทวดา เทพในยุคปัจจุบันนั่นเองครับ
สิ่งที่แยกผีและเทพที่คนโบราณแยกจากกันไม่เกี่ยวข้องกัน นั่นคือผี เกิดจากผู้ที่มีชีวิตอยู่แล้วตายไปแล้วเท่านั้น ส่วนเทพคือบุคคลาธิษฐานกำเนิดแบบโอปาติกะ ผู้ที่บูชาเทพมักจะเป็นบรรดากษัตริย์และชนชั้นปกครอง
ส่วนชาวบ้านทั่วๆไปจะนับถือผี สังเกตุได้จากเทวาลัยต่างๆ มักจะเป็นส่วนนึงของปราสาทืั้งหลายเสมอ
อ่านจนถึงตรงนี้แล้ว หากใครมากล่าวหาว่าคนนับถือผีเป็นพวกลัทธิงมงาย ก็เอาไปอธิบายให้เขาฟังกันซะใหม่นะครับ ไสยศาสตร์ไม่ใช่เรื่องมงาย ทุกอย่างมีที่มาที่ไปเสมอ คนโบราณนั้นมีความสามารถทางจิตและรับรู้ธรรมชาติแบบที่คนยุคปัจจุบันเทียบไม่ได้ครับผม เล่าให้ฟังเพลินๆ อ่านกันสนุกๆ สลับกับเรื่องเครื่องรางของขลังวัตถุมงคลครับผม เพราะไสยศาสตร์ไม่ใช่แค่การเสกๆเป่าๆ ทำเครื่องรางของขลังและพิธีกรรมเพียงอย่างเดียว
เข้าให้ถึง เข้าใจให้เป็น สัมผัสให้ถึงพลังแห่งธรรมชาติ พลังเหนือโลกทั้งหลาย ศรัทธาและงมงายต่างกันเพียงเส้นบางๆคั่น จะอยู่ทางไหนเลือกเอาเองครับ ที่นี่ไม่สอนใช้เชื่อแบบขาดสติ เชื่อเพราะว่าบอกให้เชื่อต่อๆกันมา
สำนักฤษเวทย์ ไม่ต้องการให้ใครมางมงายในไสยศาตร์ครับผม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิชาธรรมบรรลุ

วิชาธรรมบรรลุ การเรียนธรรมบรรลุ หนึ่งในวิชาโบราณอันลึกลับแห่งสายอีสาน ยากที่จะหาคำอธิบายที่สุดวิชานึง  หากจะกล่าวถึงต้นสายที่แท้จริงผู้เขียนเองก็จนปัญญาเนื่องจากไม่มีการบันทึกว่าเริ่มต้นแต่เมื่อใดสมัยใด แต่ปัจจุบันมีการแตกสายไปหลายทาง เช่นวิชาธรรมเก้าโกฎิ วิชาธรรมห้องพระไตร  วิชาธรรมฤาษี วิชาธรรมบรรดาล ในที่นี้จะกล่างถึงแค่สายของตัวผู้เขียน ซึ่งต้นสายใหญ่ แตกแขนงออกมาจาก  คุณพ่อใหญ่ธรรมฝั้น บ้านนาดอกไม้ และสายวิชาธรรมเก้าโกฐิ สายตักศิลานคร รายละเอียดแต่ละสายจะต่างกันในบางเรื่องเช่น เรื่องห้องเรื่องขันแต่สุดท้ายทุกๆสาย จะมีจุดมุ่งหมายไปทางเดียวกันการเข้ารับพลังของดวงแก้วดวงธรรมฝึกจิตขัดเกลาใจเช่นเดียวกัน วิชาธรรมบรรลุมีความแปลกพิศดารตรงที่แต่ล่ะคนจะได้คาถาบทเดียวกันแต่เมื่อผ่านการยัดธรรมขึ้นขันธรรมแล้ว  จะสวดภาษาต่างๆโดยที่ตัวผู้สวดเองก็ไม่รู้ตัว บางคนก็เป็นภาษากูโบส บางคนก็ภาษา เขมร พม่า จีน อินเดีย ตามแต่ที่ดวงพระธรรมท่านจะโปรด  ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่การฝึกของผู้ร่ำเรียนเอง บางคนก็ได้หลายภาษาก็อยู่ที่ผลการปฎิบัติมาแต่ตั้งเดิมมาแต่สัญญาก่อน  การเรี...

พระสุรัสวดี เทวีแห่งพระเวทย์และความรู้

พระแม่สุรัสวดี เป็นที่ที่นับถือกันอย่างสูงในนิกายศักติ นิกายนี้ถือเอาเทวีเป็นหลักมานับถือบูชา มีความเชื่อว่าพลังอำนาจแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคืออำนาจแห่งบุรษเทพ และอำนาจแห่งสตรีเทพ เทวีสูงสุดทั้ง 3 ของนิกายศักติ จึงเป็นชายาของมหาเทพทั้ง 3 พระศิวะ พระนารายณ์และพรพรหม แต่โดยหลักจะนับพระแม่อุมา ชายาของพระศิวะเป็นหลักตามแนวทางของไศวนิกาย ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงแต่เพียง พระสุรีสวดีเพียงพระองค์เดียว พระองค์จะถูกวาดสื่ออกมาในรูปแบบ สตรีผู้มีความสุขุม เยือกเย็น มองแล้วชวนให้สงบ มากกว่ามองแล้วจะรู้สึกถึงความมีอำนาจ และความงดงามแบบพระลักษมี ตามตำนานเล่าว่า พระแม่ทรงเป็นต้นกำเนิดแห่งคัมภีร์พระเวทย์ ซึ่งมีการก่อนศาสนาพราหมณ์ที่ยึดเอาคัมภีร์พระเวทย์เป็นหลัก อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดแห่งอักษร และประดิษฐ์วีณาขึ้นมา จึงได้ถือเอาพระแม่เป็นทั้งเทวีแห่งสรรพความรู้ เวทย์มนต์คาถา ศิลปการแสดงและดนตรี ดังที่ในบ้านเราจะมีการมอบรางวัล พระสุรัสวดีแก่นักแสดงดีเด่นในแต่ละปี ในรูปที่สื่อออกแทนองค์พระแม่ มักจะอยู่ในรูปแบบเทวี 4 กร ในมือจะถือวีณา สร้อยลูกประคำ มีความหมายถึงการภาวนาและการชำระจิต คัมภีร์หรือหนังสือ...

ต้องธรณีสาร โทษร้ายแรงที่คนโบราณสะพึงกลัว แต่คนปัจจุบันแทบจะไม่สนใจ

เมื่อว่าถึงคำว่า ต้องธรณีสารแน่นอนว่าผู้สนใจทางไสยศาสตร์และคนเล่นเครื่องรางของขลัง ล้วนจะเคบได้ยินกันผ่านหูมาบ้าง คำนี้แม้จะเคยได้ยินกันแต่น้อยคนที่จะรู้ จะเข้าใจว่าต้องธรณีสารเป็นอย่างไร บางครั้งก็จนตัวเองต้องธรณีสารไปแล้ว แต่ยังไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็ย่ำแย่หาเวลาแก้ไขก็สายเกินไปเสียแล้ว ......อธิบายง่ายๆ การต้องธรณีสารก็คือการที่ซวยแบบไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น ซวยซ้ำซวยซ้อน ชีวิตไม่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้น ของหายอยู่เป็นประจำอันเป็นเหตุให้เสียเงินซื้อบ่อยๆ หนักกว่านั้นก็คือป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุ มีเงินเท่าไหร่ก็หมดไปกับการรักษา ชีวิตแทบจะไม่เป็นอันได้อยู่เป็นสุข เอากันแบบชัดเจนก็คือโดนคว่ำบาตรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดาทั้งหลาย ที่นอกจากจะไม่ช่วยเหลือแล้วยังซ้ำเติมให้หนักขึ้นกว่าเดิม   การต้องธรณีสาร เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นคนที่ไปทำพิธี ถือวิชา ใช้เครื่องรางของขลัง แล้วทำผิดข้อห้ามต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์ผู้ได้ลงวิชา ทำพิธีให้ท่านได้บอกไว้ เช่นถ่มน้ำลายลงโถส้วม ผิดลูกเมียคนอื่น ด่าพ่อแม่ทำร้ายบุพการี ลักทรัพย์หรือเสพยา ถ้าเป็นการผิดในเรื่องเบาๆ ส่วนมากก็แค่พิธีกรรมต่างๆที่ได้กระทำไปเสื่อมไม...